กระทรวงความมั่นคงฯ เตือนกลุ่มสุดโต่งอาจฉวยโอกาสโจมตีหลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19

Loading

    เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ หรือ DHS ออกคำเตือนใหม่ซึ่งระบุว่าการผ่อนคลายมาตรการจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 อาจทำให้กลุ่มสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงใช้เป็นโอกาสเพื่อโจมตีในสหรัฐฯ ได้ การผ่อนคลายข้อจำกัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้เจ้าหน้าที่ด้านต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ กังวลว่าสภาพแวดล้อมของการควบคุมที่เปลี่ยนไปอาจทำให้กลุ่มแนวคิดแบบสุดโต่งหลายกลุ่มฉวยโอกาสเพื่อโจมตีครั้งใหม่ได้ โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ได้เตือนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วว่าสภาพแวดล้อมของภัยคุกคามขณะนี้มีทั้งความผันผวนและความสลับซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงที่มีมาตรการควบคุมเรื่องโควิด-19 อย่างเข้มงวดและมีการจำกัดจำนวนคนในสถานที่สาธารณะต่างๆ คำเตือนของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ดังกล่าวไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับภัยคุกคามอย่างเฉพาะเจาะจงเพียงแต่ระบุว่าภัยคุกคามอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากกลุ่มแนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงภายในประเทศหรือที่มีชื่อย่อโดยรวมว่า DVE และจากกลุ่มสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงซึ่งมีสาเหตุจูงใจจากเรื่องเชื้อชาติหรือชาติพันธ์หรือที่เรียกว่ากลุ่ม RMVE ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มักมุ่งเป้าโจมตีสถานที่สักการะทางศาสนา สถานที่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของคนจำนวนมาก รวมทั้งที่ตั้งของหน่วยงานรัฐบาลเป็นต้น พร้อมทั้งยังเตือนว่ากลุ่มสุดโต่งที่นิยมแนวทางรุนแรงเหล่านี้กำลังผลักดันข่าวสารการโฆษณาชวนเชื่อทั้งทางออนไลน์และทางสื่อสังคมต่างๆ เพื่อพยายามฉวยประโยชน์จากความไม่พอใจด้านความไม่ยุติธรรมทางสังคมและเชื้อชาติและความกังวลเกี่ยวกับการใช้กำลังรุนแรงของตำรวจ เป็นต้น แต่นอกจากภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศแล้ว กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ยังเตือนเรื่องภัยคุกคามจากนอกประเทศ เช่น จากกลุ่มรัฐอิสลามหรือ IS กลุ่มอัลไคด้า และจากบางประเทศ เช่นรัสเซียกับจีนเป็นต้น โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้ระบุในคำแถลงว่าทางกระทรวงได้เพิ่มความพยายามขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อตรวจจับและสกัดกั้นการก่อการร้ายทั้งจากภายในและภายนอกประเทศรวมทั้งการใช้กำลังรุนแรงซึ่งมุ่งต่อเป้าหมายต่างๆ ขณะที่พยายามปกปักรักษาความเป็นส่วนตัวของประชาชนรวมทั้งสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองด้วย คำเตือนจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิที่ว่านี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ทางกระทรวงประกาศเรื่องการตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวกรองและรับมือกับกลุ่มก่อการร้ายในประเทศโดยเฉพาะ คำเตือนเรื่องภัยคุกคามดังกล่าวดูจะสอดคล้องกับคำเตือนจากภาคเอกชนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งนายโคลิน คล้าก ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและวิจัยของ The Soufan Group บริษัทที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและข่าวกรองได้กล่าวไว้ระหว่างการประชุมออนไลน์ว่า ขณะที่คนอเมริกันต้องการจะกลับคืนสู่สภาวะปกติหลังโควิด-19 นั้นการผ่อนคลายเรื่องนี้ก็ทำให้เกิดจุดอ่อนและความเสี่ยงตามมา เพราะจะเป็นโอกาสให้กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เร่งสร้างเครือข่าย รับสมัครสมาชิกใหม่ ระดมหาทุนและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้ง่ายขึ้น เมื่อต้นปีนี้ สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ…

ถอดรหัสเหตุร้ายในห้างสรรพสินค้า แรงจูงใจ 3 ด้านอาชญากร

Loading

    เหตุการณ์คนร้ายใช้อาวุธปืนจู่โจมก่อเหตุ “ชิงทรัพย์ธนาคาร หรือร้านทอง” ในสถานที่ที่คนพลุกพล่านตาม “ห้างสรรพสินค้า” เริ่มเกิดถี่มากยิ่งขึ้นใน “ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ” จากผลกระทบโรคระบาดโควิด-19 ที่มีโอกาสนำสู่เกิดการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินได้อยู่เสมอ ทำให้ประชาชนต่างรู้สึก “ไม่ปลอดภัย” อย่างเคยเกิดขึ้นมาแล้วใน “เหตุคนร้ายจี้ชิงทอง ในห้างฯดัง จ.ลพบุรี” กลายเป็นเหตุสะเทือนขวัญที่อาจไม่ใช่เหตุการณ์สุดท้ายก็ได้ รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม ม.รังสิต บอกว่า     ทุกคนมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามอันเป็นอันตรายแก่ชีวิต และทรัพย์สินแบบคาดไม่ถึงได้ทุกที่ทุกเวลา “คนร้าย” มีโอกาสก่อเหตุร้ายแรงได้เสมอ นับแต่ปี 1990 มีการขยายตัวของสังคมเมืองมากขึ้น มีผลให้เหตุอาชญากรรมเพิ่มตามมาด้วย ทั้งคดีฆ่าผู้อื่น หรือคดีพยายามฆ่า ในรัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา…นักอาชญาวิทยามีการศึกษาเกี่ยวกับคดีฆ่าผู้อื่น ที่มีจุดเริ่มต้นของการก่ออาชญากรรมนี้เกิดจากจุดเล็กน้อยของความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยทางสังคม ตั้งแต่การขีดเขียนบนฝาผนังทั่วไป การทิ้งขยะเรี่ยราดไม่เป็นที่เป็นทาง ไม่ว่าจะเป็นที่สวนสาธารณะ ถนนที่ทำงาน โรงเรียน ที่เรียกว่า…“ทฤษฎีหน้าต่างแตก” (Broken windows) ซึ่งเป็นทฤษฎีทางอาชญาวิทยาของการสร้างมาตรฐาน ในการเปรียบเทียบจุดเริ่มต้นของ “การก่อเหตุอาชญากรรม” เสมือนกับ “หน้าต่างร้าว” เมื่อปล่อยไม่ซ่อมแซมแก้ไข ทำให้หน้าต่างบานนี้แตกได้…

มะกันระบุภาพดาวเทียมชี้ จีนซุ่มเคลื่อนย้ายขีปนาวุธ เตรียมพร้อมยิงนุกตอบโต้รุนแรงจากใต้ดิน

Loading

  ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันระบุจีนดูเหมือนกำลังเคลื่อนย้ายขีปนาวุธนิวเคลียร์เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีตอบโต้อย่างรุนแรงจากไซโลใต้ดิน สอดคล้องกับรายงานของเพนตากอนก่อนหน้านี้ ฮันส์ คริสเตนเซน ผู้เชี่ยวชาญอเมริกันที่เฝ้าสังเกตการณ์กองกำลังนิวเคลียร์ของรัสเซียและจีนมายาวนาน ระบุว่า ภาพถ่ายดาวเทียมเมื่อปลายปีที่แล้วบ่งชี้ว่า จีนเริ่มสร้างไซโลใต้ดิน 11 แห่งในสถานที่ฝึกอบรมด้านนิวเคลียร์ บริเวณตอนกลางของประเทศ เพิ่มเติมจาก 5 แห่งที่เริ่มสร้างก่อนหน้านั้น และเพิ่มจากไซโลที่มีอยู่เดิม 18-20 แห่งที่จัดเก็บขีปนาวุธข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) แบบ ดีเอฟ-5 ซึ่งเป็นขีปนาวุธรุ่นเก่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวบ่งชี้ว่า จีนกำลังพยายามตอบโต้ภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นจากอเมริกา ขณะที่ช่วงไม่กี่ปีมานี้วอชิงตันระบุว่า การพัฒนาศักยภาพนิวเคลียร์ของปักกิ่งเป็นเหตุผลสำคัญสำหรับอเมริกาในการทุ่มทุนนับแสนล้านดอลลาร์สร้างคลังแสงนิวเคลียร์ใหม่ในช่วง 2 ทศวรรษข้างหน้า อย่างไรก็ตาม คริสเตนเซนซึ่งเป็นนักวิเคราะห์ที่ทำงานกับสหพันธ์นักวิทยาศาสตร์อเมริกัน (Federation of American Scientists) สำทับว่า แม้จีนเพิ่มจำนวนไซโลไอซีบีเอ็มอีก 2-3 เท่า แต่ยังถือว่า น้อยมากเมื่อเทียบกับอเมริกาและรัสเซียที่มีไซโล 450 แห่ง และ 130 แห่งตามลำดับ ถึงแม้ไม่มีแนวโน้มว่า อเมริกากับจีนจะเปิดสงครามกัน แต่รายงานของคริสเตนเซนออกมาขณะที่สองชาติมีความขัดแย้งรุนแรงขึ้นตั้งแต่ประเด็นการค้าไปจนถึงความมั่นคงของชาติ และการยกระดับกองกำลังนิวเคลียร์ของจีนอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่สหรัฐฯต้องนำมาพิจารณา ในการตอบโต้ทางทหารต่อการดำเนินการก้าวร้าวของจีน เช่น ในไต้หวันหรือทะเลจีนใต้ ขณะเดียวกัน แม้กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ไม่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการวิเคราะห์ของคริสเตนเซน…

กองทัพเมียนมาแก้ประมวลกฎหมายอาญาความมั่นคง

Loading

การปลุกระดมให้เกิดการล้มล้างรัฐบาลและรัฐธรรมนูญ “ถือเป็นกบฏ” เนื่องจากเป็นลักษณะความผิดที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสังคม ขณะเดียวกัน รัฐบาลทหารเมียนมายังกำหนดลักษณะความผิดอาญาด้านความมั่นคงอีกหลายรูปแบบ     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ว่าคณะมนตรีการปกครองแห่งรัฐเผยแพร่แถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ เกี่ยวกับการแก้ไขบางมาตราของประมวลกฎหมายอาญา และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ว่าด้วย “พฤติการณ์เข้าข่ายก่อสงครามต่อสหภาพเมียนมา” ซึ่งเกี่ยวกับความมั่นคงภายในประเทศ ให้ครอบคลุมถึงการปลุกระดม การสนับสนุนหรือสมคบคิดกับกลุ่มบุคคลใด โดยมีเป้าประสงค์เพื่อล้มล้างรัฐบาลและอำนาจตามรัฐธรรมนูญ “ถือเป็นความผิดร้ายแรง ฐานเป็นกบฏต่อแผ่นดิน” Anti-coup protesters rally outside National League for Democracy party (#NLD) offices in #Yangon#Myanmar pic.twitter.com/Eba1b11VJ4 — Ruptly (@Ruptly) February 15, 2021 Protesters in Myanmar continued to demand for the release of ousted civilian leader…

ภัยคุกคามยังมี! เพนตากอนสั่งคงกองกำลังทหารในวอชิงตันถึงกลาง มี.ค.

Loading

  กระทรวงกลาโหมสหรัฐประกาศคงกองกำลังทหารรักษาดินแดนหลายพันนายไว้ในกรุงวอชิงตันต่อไปจนถึงกลางเดือนมีนาคมนี้ แม้ว่าจะเสร็จสิ้นพิธีสาบานตนของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ไปแล้ว เนื่องจากภัยคุกคามต่อเนื่องยังคงดำรงอยู่ อย่างไรก็ดีกระทรวงกลาโหมสหรัฐไม่ได้ระบุชัดเจนถึงสิ่งที่เป็นภัยคุกคามที่ยังคงมีอยู่ว่าคืออะไร โดยบอกเพียงว่าข้อมูลดังกล่าวได้มาจากสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) เท่านั้น และว่ามีความเป็นไปได้ที่จะเกิดความเสี่ยงในหลายเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในกรุงวอชิงตันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ทางการสหรัฐยังคงวิตกกังวลถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิดความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังการบุกยึดอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม โดยกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และเชื่อว่าความกังวลดังกล่าวยังคงอยู่ไปจนถึงวันที่วุฒิสภาสหรัฐจะเริ่มต้นพิจารณาถอดถอนทรัมป์ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์นี้   —————————————————————————————————————————————————————- ที่มา :  มติชน    / วันที่เผยแพร่  26 มกราคม 2564 Link : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2547850

เปิดโปง QAnon ลัทธิคลั่งเบื้องหลังสาวกทรัมป์

Loading

อธิบายชัดๆ ที่มาที่ไปของลัทธิ QAnon ที่กำลังเขย่าประชาธิปไตยสหรัฐ     การบุกอาคารรัฐสภาในกรุงวอชิงตันดี.ซี.ของสหรัฐเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีกลุ่มผู้สนับสนุนประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เรียกตัวเองว่า “QAnon” เข้าร่วมวงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เชื่อว่าเป็นแกนนำคนสำคัญของกลุ่มอย่าง เจค แองเจลี หรือ เจค็อบ แอนโธนี แชนสลีย์ ที่บุกเข้าไปถึงด้านในตัวอาคาร และแอชลีย์ แบบบิต อดีตทหารในกองทัพอากาศสหรัฐที่บุกคองเกรสจนถูกยิงเสียชีวิต คนเหล่านี้ทำให้ชื่อของ QAnon ถูกพูดถึงอีกครั้ง ต่อไปนี้คือสรุปที่มาที่ไปและความเชื่อของกลุ่ม QAnon 1. QAnon คือทฤษฎีสมคบคิดที่ปราศจากมูลความจริงของกลุ่มขวาจัดที่เชื่อว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลสหรัฐ ร่วมมือกับนักการเมืองพรรคเดโมแครต มหาเศรษฐี และคนดังในวงการฮอลลีวูด ไม่ว่าจะเป็น ฮิลลารี คลินตัน, บารัก โอบามา, จอร์จ โซรอส หรือโอปราห์ วินฟรีย์ พยายามสร้างรัฐซ้อนรัฐ (deep state) เพื่อครอบงำสหรัฐ และยังกล่าวหาว่าคนกลุ่มนี้เกี่ยวข้องกับการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก รวมถึงเชื่ออีกว่าทรัมป์กำลังทำสงครามกับคนกลุ่มนี้อย่างลับๆ เพื่อช่วยโลก 2. QAnon ยังเชื่อคำกล่าวอ้างอื่นๆ…