COVID-19 กำลังเปลี่ยนโลกและท่าทีของเราต่อเทคโนโลยีและความเป็นส่วนตัว

Loading

The way we do business and interact could be fundamentally changed by Covid-19 (Credit: Getty Images) ที่มาภาพ: https://www.bbc.com/future/article/20200331-covid-19-how-will-the-coronavirus-change-the-world Written by Kim อนาคตหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนามีความเป็นไปได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของรัฐบาลและสังคมรวมทั้งสภาพเศรษฐกิจและผลที่ตามมา[1] ขณะนี้ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลกระทบในระยะยาวของการแพร่ระบาด นักวิชาการ นักวางแผน ผู้นำทางความคิดและนักธุรกิจต่างก็เริ่มจัดทำรายการความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หากการแพร่ระบาดยิ่งนานเท่าไรการเปลี่ยนแปลงจะยิ่งช้าลงเท่านั้น[2]           ข้อมูลสถิติและผู้เชี่ยวชาญระบุว่า จุดเริ่มต้นการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 อยู่ที่เมืองอู่ฮั่นของจีนและปัจจุบันเริ่มถูกจำกัดวง (contain) โดยมีต้นทุนความเสียหายทั้งด้านเศรษฐกิจและชีวิตมนุษย์ แม้ในช่วงเวลาก่อนการอุบัติขึ้นแบบฉับพลัน (outbreak)[3] ของเชื้อไวรัส พลเมืองชาวจีนอยู่ภายใต้การสอดส่องตรวจตราอย่างเข้มงวดโดยรัฐ (state surveillance) และมาตรการติดตามแกะรอยทางเทคโนโลยี (technology-driven tracking measures) ซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ในโลกตะวันตกคุ้นเคย ในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลง การบุกรุกชีวิตประจำวันของเราดูเหมือนกำลังขยายตัวมากขึ้น[4] เจ้าหน้าที่ทางการใช้หมวกนิรภัยติดกล้องตรวจจับแยกแยะอุณหภูมิฝูงชนและโทรศัพท์สมาร์ทโฟนติดตั้งแอป ซึ่งใช้หลักการเรียนรู้ของเครื่องจักร (machine learning)[5] ประเมินค่า “ระดับความเสี่ยง” ของประชาชนด้วยรหัสสี (แดง เหลือง เขียว) เครื่องบินไร้คนขับควบคุมด้วยวิทยุทางไกล (drone) ติดตั้งกล้องตรวจจับความร้อน ลำโพงขยายเสียงรวมทั้งเครื่องฉีดสารเคมีบินลาดตระเวณบังคับใช้ตรวจจับประชาชนที่ละเมิดกฎหมายกักตัวอยู่บ้าน มีรายงานว่าผู้อยู่อาศัยในอพาร์ทเมนต์จำนวนหนึ่งไม่สามารถกลับเข้าที่พัก เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยอัตโนมัติตัดสินว่าบุคคลเหล่านั้นเป็นผู้มี “ความเสี่ยง”           ไม่เพียงแต่จีนเท่านั้น รัฐบาลอิหร่านสนับสนุนให้ประชาชนดาวน์โหลดแอปที่ใช้วินิฉัยการแพร่กระจายของไวรัส โดยไม่บอกว่าแอปดังกล่าวสามารถใช้ติดตามความเคลื่อนไหวของผู้ใช้รวมทั้งผู้ที่ติดต่อด้วย…

ทะเลจีนใต้ระอุ เวียดนามประท้วงปักกิ่ง จัดตั้งเขตปกครองบนหมู่เกาะพิพาท

Loading

ทะเลจีนใต้ระอุ – วันที่ 20 เม.ย. วีโอวี รายงานว่า นางเล ถิ ทู หั่ง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามแถลงกรณีที่รัฐบาลจีนประกาศจัดตั้ง เขตซีซา บน หมู่พาราเซล หรือ หมู่เกาะหว่างซา ของเวียดนาม และ เขตหนานซา บน หมู่เกาะสแปรตลีย์ หรือหมู่เกาะ หมู่เกาะเจื่องซา ของเวียดนาม เมื่อวันที่ 18 เม.ย. เป็นการละเมิดอธิปไตยเวียดนามอย่างอุกอาจ ไร้คุณค่า และไม่เป็นที่ยอมรับ ส่งผลเสียต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศต่างๆ สร้างความวุ่นวายมากขึ้นต่อสถานการณ์ทะเลตะวันออก เวียดนามเรียกร้องให้จีนเคารพอธิปไตยเวียดนาม ยุติการตัดสินใจผิดพลาดต่างๆ และไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลัง ซีจีทีเอ็น โทรทัศน์ทางการจีน รายงานจากกระทรวงกิจการพลเรือนของจีนว่า สภาประชาชนจีนอนุมัติการจัดตั้งสำนักงานเขตซีซา บนเกาะฟู้เลิม ของหมู่เกาะพาราเซล และสำนักงานเขตหนานซา บนโขดหินจื๋อเถิบ ของหมู่เกาะสแปรตลีย์ ทั้งสองสำนักงานเขตอยู่ภายใต้การปกครองของมณฑลไห่หนานของจีน วีโอวีระบุว่า โขดหินจื๋อเถิบเป็นหนึ่งในโครงสร้างกายภาพ 7 แห่ง ของหมู่เกาะเจื่องซาของเวียดนาม ที่ถูกจีนใช้กำลังอาวุธยึดครองอย่างผิดกฎหมายเพื่อปรับปรุงเป็นเกาะเทียมหวังเข้าควบคุมทะเลตะวันออกเพียงฝ่ายเดียว แม้ว่าจีนประกาศไม่มีการเคลื่อนไหวทางทหารในทะเลตะวันออก แต่การกระทำของจีนกลับสวนทางกับคำพูดของจีน ——————————————————— ที่มา : ข่าวสดออนไลน์ / 20 เมษายน 2563 Link : https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_3986500

สะเทือนขวัญแคนาดา กราดยิงข้ามคืนดับกว่า 10 ศพ

Loading

ประเทศที่เงียบสงบอย่างแคนาดาต้องตื่นตกใจกับเหตุการณ์กราดยิงที่คร่าชีวิตผุ็คนไปมากมาย เกิดเหตุกราดยิงยาวนานข้ามคืนในชนบทในมณฑลโนวาสโกเชีย ประเทศแคนาดา เหตุครั้งนี้เริ่มขึ้นที่เมืองพอร์ตาพิค (Portapique) เมื่อคืนวันเสาร์ตามเวลาท้องถิ่น (หรือคืนวันอาทิตย์ตามเวลาประเทศไทย) และยืดเยื้อนานถึง  12 ชั่วโมงต่อมา จนกระทั่งมือปืนเสียชีวิตที่สถานีบริการน้ำมันห่างจากเมืองเอนฟีลด์ (Enfield) ประมาณ 22 ไมล์ ตำรวจไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการเสียชีวิตของมือปืน แต่พยานบอกกับสถานีข่าวท้องถิ่นว่าได้ยินเสียงปืนก่อนที่คนร้ายจะเสียชีวิต เบื้องต้นทราบว่ามือปืนรายนี้ตือ เกเบรียล เวิร์ทแมน (Gabriel Wortman) วัย 51 ปี มีอาชีพเป็นทันตแพทย์และมีความสัมพันธ์กับเหยื่อกราดยิงคนหนึ่ง ส่วนแรงจูงใจในการลงมือก็ยังไม่ชัดเจนเช่นกัน ตำรวจบอกว่าในตอนแรกเป็นการยิงแบบตั้งใจ จนกระทั่งคนร้ายเริ่มยิงไม่เลือกเมื่อเหตุการณ์บานปลาย คริส เลเธอร์ (Chris Leather) เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบในการสืบสวนคดีอาชญากรรมของตำรวจม้าแคนาดา ประจำมณฑลโนวาสโกเชียกล่าวว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มขึ้นในคืนวันเสาร์เมื่อมีผู้แจ้งตำรวจส่าเกิดเหตุที่บ้านหลังหนึ่งเมื่อเดินทางถึงก็พบศพภายในและภายนอกบ้านพัก แต่ไม่มีพบผู้ต้องสงสัย เจ้าหน้าที่จึงเร่งติดตามตัวคนร้ายซึ่งคาดว่าแต่งตัวอำพรางเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและกำลังขับรถหลบหนีโดยเปบี่ยนรถยนต์ระหว่างทางด้วย แต่ระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังติดตามจับกุมคนร้ายก็ลงมือไม่หยุด โดยพบร่างผู้เสียชีวิตหลายพื้นที่และยังมีการวางเพลิงอาคารหลายแห่งด้วย จนกระทั่งคนร้ายไปจนมุมตำรวจที่สถานีบริการน้ำมันดังกล่าว หลังจากมือปืนเสียชีวิตแล้วมีการประเมินคร่าวๆ พบว่าผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของชายคนนี้อาจมีมากว่า 10 คนรวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่ตัวเลขอาจสูงกกวา่นี้ “เรายังไม่ได้นับรอบสุดท้าย ยอด (คนตาย) เกิน 10 ราย ค่อนข้างจะแน่นอนมากกว่า 10 ราย” คริส เวเธอร์ โฆษกตำรวจกล่าวระหวา่งการแถลงข่าว ——————————————————…

ทำไมฟิลิปปินส์ถึงจับมือกับเวียดนามคัดง้างจีนในกรณีข้อพิพาททะเลจีนใต้?

Loading

ถึงแม้จะอยู่ในช่วงที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตการระบาดของ COVID-19 แต่ความขัดแย้งพื้นที่ทะเลจีนใต้ก็ยังคุกรุ่นในหมู่ประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และจีน โดยที่ฟิลิปปินส์ได้แสดงท่าทีเป็นแนวร่วมกับเวียดนามในข้อพิพาทครั้งนี้ หลังจากที่รัฐบาลจีนจับเรือหาปลาของเวียดนาม ทำให้นักวิจัยด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียวิเคราะห์ท่าทีของฟิลิปปินส์ที่ยังต้องพึ่งพาความช่วยเหลือจากจีนเกี่ยวกับการต้านโรคระบาด ลูซิโอ บลังโก พิตโล ที่ 3 นักวิจัยด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชียผู้ได้รับทุนจากมูลนิธิเอเชียแปซิฟิกพาร์ธเวย์ทูโปรเกรส วิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ข้อพิพาทพื้นที่ทะเลจีนใต้ระหว่างเวียดนาม ฟิลิปปินส์ กับจีน โดยระบุว่า ในขณะที่สถานการณ์โคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่ทำให้เกิดโรค COVID-19 จะทำให้เวียดนามพลาดท่าในการแสดงออกว่าคนเป็นเจ้าของเหนือทะเลจีนใต้ได้ในฐานะประธานประชาคมอาเซียนปีนี้ แต่ทว่าการที่ฟิลิปปินส์แสดงท่าทีเป็นพวกเดียวกับประชาคมอาเซียนและเปิดทางให้เวียดนามก็ดูมีนัยสำคัญ ถึงแม้ว่าจะมีกรณี COVID-19 แต่กองทัพคุ้มกันชายฝั่งของจีนก็ก่อเหตุให้เกิดข้อพิพาทกรณีทะเลจีนใต้ปะทุอีกครั้งด้วยการจมเรือหาปลาของเวียดนามเมื่อต้นเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา ทำให้หลังจากนั้นทางฟิลิปปินส์ก็ออกแถลงการณ์แสดงความเป็นห่วงและแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับเวียดนามในฐานะเพื่อนบ้านเอเชียอาคเนย์ รวมถึงระบุว่าทางการฟิลิปปินส์จะใช้ความระมัดระวังในสถานการณ์เกี่ยวกับเรือประมงต่างชาติ แสดงออกว่าพวกเขาต้องการลดความสำคัญเรื่องการควบคุมพื้นที่น่านน้ำจากเรือหาปลาน้อยลง เวียดนามในปีนี้ได้รับผลกระทบจากการที่เดิมทีแล้วพวกเขามีแผนการจะอาศัยความเป็นประธานอาเซียนในปี 2563 เพื่อผลักดันวาระความเป็นเจ้าของพื้นที่น่านน้ำทะเลจีนใต้ และใช้อิทธิพลคัดง้างกับจีนซึ่งมักจะแทรกแซงการประมงและกิจการด้านพลังงานในพื้นที่พิพาทแห่งนี้ แต่การระบาดของ COVID-19 ก็ทำให้แผนการจัดงานต่างๆ ต้องถูกเลื่อนออกไป แต่ทว่าสถานการณ์การประมงน่านน้ำและการโต้ตอบจากจีนที่เกิดขึ้นก็แสดงให้เห็นว่าความคุกรุ่นของความขัดแย้งทะเลจีนใต้นี้ยังคงอยู่แม้ในช่วงโรคระบาด ทั้งนี้ทั้งเวียดนามและฟิลิปปินส์ก็มีข้อตกลงร่วมกันเกี่ยวกับทะเลจีนตะวันออกมานานแล้ว เช่น ในกรณีปีที่ผ่านมาก็มีการจัดประชุมที่กรุงมะนิลา ที่ทั้งเวียดนามและฟิลิปปินส์ต่างก็เน้นย้ำความสำคัญของการดำรงไว้ซึ่งสันติภาพ, เสถียรภาพ, ความปลอดภัย และความมั่นคงในการเดินทางทางเรือ รวมถึงเน้นย้ำเรื่องการแก้ไขข้อพิพาทจะต้องเป็นไปอย่างสันติโดยอาศัยกระบวนการทางการทูตและทางกฎหมาย ตามหลักการของกฎหมายนานาชาติต่างๆ โดยในการประชุมครั้งนั้นมีผู้นำระดับสูงหลายคนจากทั้งฟิลิปปินส์และเวียดนามเข้าร่วม ฟิลิปปินส์ยังส่งสัญญาณเป็นมิตรกับเวียดนามในเรื่องนี้อีกครั้งหนึ่งจากการที่ส่งตัวแทนกระทรวงกลาโหมของตัวเองไปพบปะหารือกับฝ่ายกลาโหมของเวียดนามเพื่อหารือเรื่องเรือหาปลาจากเวียดนาม โดยบอกว่าพวกเขาจะไม่เผชิญหน้ากับเรือหาปลาของเวียดนามอีกต่อไปแต่จะแนะนำให้เคลื่อนออกไปจากน่านน้ำของฟิลิปปินส์แทน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการท่าเรือของทั้งสองฝ่ายก็ทำการพบปะหารือกันหลายครั้งในช่วงปี 2562 และจะมีการพบปะกันอีกเป็นครั้งที่ 7…

กต.สหรัฐฯ ออกคำเตือนระวังภัยโจมตีทางไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ

Loading

The Harry S. Truman Building, headquarters for the State Department กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ออกคำเตือนให้ภาคธุรกิจธนาคารและการเงินระวังภัยการโจมตีทางไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ ที่อาจมุ่งเป้าไปยังกลุ่มโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในประเทศ คำเตือนจากกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ที่ออกมาในวันพุธตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งตรงกับวันที่ชาวเกาหลีเหนือฉลองวันคล้ายวันเกิดของอดีตผู้นำ คิม อิล-ซุง เป็นผลของการทำงานร่วมกับกระทรวงการคลัง กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และ FBI โดยไม่มีการระบุถึงห้วงเวลาที่ต้องมีการระวังภัยใดๆ ในคำเตือนล่าสุดนี้ ทางการสหรัฐฯ ระบุว่า ความพยายามด้านไซเบอร์ของเกาหลีเหนือที่มีมาต่อเนื่องนั้น ถือเป็นภัยอันใหญ่หลวงต่อความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบการเงินระหว่างประเทศอย่างยิ่ง คำเตือนนี้ยังย้ำด้วยว่า แฮคเกอร์ของเกาหลีเหนือมีความสามารถที่จะป่วนและสร้างความเสียหายให้กับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสหรัฐฯ ได้ด้วย โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกกับผู้สื่อข่าว วีโอเอ ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ คือ ทุกฝ่ายต้องทำงานร่วมกันเพื่อลดผลกระทบจากภัยคุกคามของเกาหลีเหนือให้ได้ ขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ให้ความเห็นว่า เกาหลีเหนืออาจจ้างคนภายนอกทำการโจมตีทางไซเบอร์ได้ เพราะที่ผ่านมา การสอบสวนต่างๆ ไม่ค่อยสามารถสาวไปถึงผู้สั่งการที่เป็นคนในรัฐบาลใดๆ ได้เลย ——————————————————————- ที่มา : VOA Thai / 16 เมษายน 2563 Link…

วิกฤตไทย 2563 ! ข้อสังเกต 10 ประการ โดย สุรชาติ บำรุงสุข

Loading

โดย สุรชาติ บำรุงสุข ประเทศไทยไม่แตกต่างจากหลายประเทศทั่วโลกที่วันนี้ตกอยู่ภายใต้วิกฤตการณ์ชุดใหญ่ อันเป็นผลจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และวิกฤตโรคระบาดครั้งนี้กำลังเปลี่ยนแปลงสังคมโลกครั้งใหญ่เช่นไร สังคมไทยก็กำลังถูกความเปลี่ยนแปลงไปเช่นนั้นไม่แตกต่างกันด้วย หรือดังที่นักสังเกตการณ์ทั้งหลายมีความเห็นในระดับโลกร่วมกันก็คือ โลกหลังยุคก่อนโควิดจะไม่หวนกลับมาหาเราอีก เช่นที่โลกยุคหลังโควิดก็จะแตกต่างออกไปจากยุคก่อนอย่างมาก และจะเป็นความเปลี่ยนแปลงในมิติต่างๆ ครั้งใหญ่อย่างคาดไม่ถึงด้วย ดังนั้นหากทดลองคาดการณ์ถึงความเปลี่ยนแปลงของไทยในอนาคตแล้ว เราอาจจะเห็นประเด็นต่างๆ ที่จะมีความสำคัญต่อทิศทางการพลิกฟื้นประเทศหลังจากการสิ้นสุดของโรคระบาดชุดนี้ ได้แก่ 1) วิกฤตซ้อนวิกฤต: การเมืองไทยจะยังคงตกอยู่ในภาวะวิกฤต ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นก่อนการระบาดนั้น ไม่ได้หายไปไหน เป็นแต่เพียงจะถูกทับซ้อนจากสถานการณ์ใหม่ อันเป็นผลจากความอ่อนแอของรัฐบาลในการบริหารจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น อันอาจจะส่งผลให้วิกฤตที่มีอยู่แต่เดิมแล้ว กลายเป็นวิกฤตที่มีความรุนแรงมากขึ้น และจะส่งผลต่อสถานะทางการเมืองของรัฐบาล โดยเฉพาะต่อตัวผู้นำรัฐบาลโดยตรง และจะเป็นวิกฤตที่มีนัยต่อความอยู่รอดของรัฐบาลอีกด้วย หรืออาจคาดได้ว่า การเมืองหลังจากการระบาดสิ้นสุดลงจะมีความเข้มข้นมากขึ้นอย่างแน่นอน และจะมีผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองด้วย 2) เศรษฐกิจพังทลาย: วิกฤตเศรษฐกิจในปี 2563 จะมีความรุนแรงและหนักหน่วงมากกว่าวิกฤตในปี 2540 อย่างแน่นอน และความคาดหวังว่าวิกฤตเศรษฐกิจ 2563 จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วเช่นในปี 2540 อาจจะเป็นการคาดคะเนที่ง่ายเกินไป การพังทลายของเศรษฐกิจไทยกำลังเกิดขึ้นกับทุกภาคส่วน จนวันนี้กล่าวได้ชัดเจนว่า ไม่มีภาคส่วนใดที่ไม่ได้รับผลกระทบ และผลที่เกิดขึ้นกำลังพาเศรษฐกิจไทยสู่ “การ ถดถอย” ครั้งใหญ่ (economic recession) และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ในภาวะ “ติดลบ” อย่างแน่นอน…