อึ้ง เผยทหารหน่วยรบพิเศษ SAS กำลังฝึกซ้อมต่อสู้ เอเลี่ยน อาจบุกโลก

Loading

  สื่ออังกฤษเผยทหารหน่วยรบพิเศษ SAS ประมาณ 20 นาย กำลังฝึกซ้อมต่อสู้กับภัยคุกคามทุกอย่าง ทั้งก่อการร้าย อาวุธชีวภาพ ไปจนถึงมนุษย์ต่างดาวที่อาจบุกโลก เมื่อ 11 มกราคม 2564 เว็บไซต์เดลี่สตาร์ รายงานอ้างแหล่งข่าว ถึงเหตุการณ์ที่ชาวโลกส่วนใหญ่คงไม่อาจรู้ว่าขณะนี้ทหารหน่วยรบพิเศษ SAS ชั้นหัวกะทิของอังกฤษ ประมาณ 20 นายกำลังมีการฝึกซ้อมทักษะการต่อสู้โดยไม่ใช้อาวุธร้ายแรงกับภัยคุกคามที่มีศักยภาพหลากหลาย ซึ่งรวมทั้งความเป็นไปได้ที่ เอเลี่ยน มนุษย์ต่างดาวอาจบุกโลกมนุษย์ของเราด้วย แหล่งข่าวเผยกับเดลี่สตาร์ว่า หน่วยรบทหารพิเศษชั้นหัวกะทิของอังกฤษกำลังเตรียมตัวฝึกซ้อมรับมือกับภัยคุกคามทุกอย่างและทุกเรื่อง รวมถึงภัยจากการก่อการร้าย ภัยจากอาวุธชีวภาพปลิดชีวิตมนุษย์ ไปจนถึงภัยจากมนุษย์ต่างดาวที่มาจากดาวดวงอื่น     ‘ผมรู้ว่ามันฟังดูแล้วเป็นเรื่องบ้าบอคอแตก แต่ขณะนี้ หน่วย SAS กำลังฝึกซ้อมรับมือในทุกภัยคุกคาม ทหารหน่วยรบ SAS นี้สามารถใช้อาวุธไม่ร้ายแรง อย่างสเปรย์ ในการป้องกันไม่ให้ศัตรูเคลื่อนไหว’ แหล่งข่าวเผย พร้อมกับเข้าใจว่าทหารหน่วยรบพิเศษอังกฤษนี้ได้ฝึกซ้อมทักษะการสู้รบครั้งนี้ ร่วมกับทหารจากหน่วยรบพิเศษสหรัฐฯ ส่วนแหล่งข่าวอีกคนหนึ่งยังพูดเสริมด้วยว่า คนส่วนใหญ่เชื่อว่ามีสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่น แม้แต่ไอน์สไตน์ ยังเคยกล่าวว่า ทำไมโลกถึงจะเป็นแค่ดาวเคราะห์ดวงเดียวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่? และถ้าคุณเชื่อในเรื่องว่ามีสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงอื่น คุณต้องยอมรับว่าสักวันเอเลี่ยนอาจมายังโลกในฐานะภัยต่อมนุษย์อย่างหนึ่ง   —————————————————————————————————————————- ที่มา…

คาร์บอมบ์โจมตีภาคกลางอัฟกานิสถาน เจ้าหน้าที่ดับ 30

Loading

รอยเตอร์ – เกิดเหตุคาร์บอมบ์โจมตีจังหวัดกาซนี( Ghazni) ภาคกลางของอัฟกานิสถาน มีผู้เสียชีวิตเป็นเจ้าหน้าที่ 30 นาย และผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 ราย ยังไม่มีผู้ใดออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบ รอยเตอร์รายงานวันนี้(29 พ.ย)ว่า นายแพทย์ บาซ โมฮัมหมัด เฮหมัด ( Baz Mohammad Hemat) ซึ่งเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจำจังหวัดกาซนี(Ghazni) ภาคกลางของอัฟกานิสถาน กล่าวให้ข้อมูลว่า มีร่างผู้เสียชีวิต 30 คน และผู้ได้รับบาดเจ็บ 24 คน ได้ถูกส่งตัวเข้ามาที่นี่ และชี้ว่า “เหยื่อทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ความมั่นคง” ทั้งนี้พบว่าการระเบิดมีเป้าหมายที่ตั้งของกองกำลังปกป้องสาธารณะซึ่งเป็นปีกของกองกำลังความมั่นคงอัฟกัน เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเปิดเผย การโจมตีสร้างความเสียหายให้กับบ้านเรือนพลเรือนโดยรอบที่ตั้งกองกำลังปกป้องสาธารณะ พวกเขายังชี้ว่า อาจจะมีตัวเลขสูญเสียที่นั่นเพิ่มมากขึ้น ขณะที่โฆษกกระทรวงมหาดไทยอัฟกานิสถานได้ออกมายืนยันเหตุโจมตีด้วยคาร์บอมบ์ แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดออกมา อย่างไรก็ตามในเวลานี้ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาประกาศแสดงความรับผิดชอบ รอยเตอร์รายงานว่า ซาบิฮุลลาห์ มูจาฮิด( Zabihullah Mujahid) โฆษกกลุ่มตอลิบานไม่ได้กล่าวยอมรับหรือปฎิเสธในความรับผิดชอบเมื่อถูกถามทางโทรศัพท์ นอกจากนี้ในวันอาทิตย์(29)ยังเกิดเหตุระเบิดอีกที่ในจังหวัดซาบูล( Zabul)ทางตะวันออกของอัฟกานิสถาน โดยมีเป้าหมายไปที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงประจำจังหวัด แต่ทว่าการโจมตีทำให้มีผู้เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 1 คน และบาดเจ็บอีก…

เปิดเเผนรัสเซียขยายอิทธิพลเพื่อ ‘แทรกซึมการเมืองสหรัฐฯ’ ต่อเนื่อง

Loading

Putin’s language สี่ปีหลังจากการเตือนภัยและเตรียมการต่อต้านการเเเทรกแซงของรัสเซียต่อการเลือกตั้งอเมริกัน หน่วยงานข่าวกรองสหรัฐฯ มั่นใจว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ไม่เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยเมื่อปี ค.ศ. 2016 ที่รัสเซียสามารถเจาะล้วงระบบข้อมูลและขยายอิทธิพลต่อกระบวนการประชาธิปไตยอเมริกา อย่างไรก็ตาม ผู้สันทัดกรณีกล่าวว่ารัสเซียยังคงพยายามขยายปฏิบัติการด้านข้อมูลข่าวสารในรูปแบบที่แยบยลกว่าในอดีต จากเดิมที่รัสเซียใช้บัญชีโซเชี่ยลมีเดียปลอมสร้างเนื้อหาและเผยเเพร่ข้อมูล ปัจจุบันกลวิธีใหม่ๆ ถูกนำมาใช้เพื่อชี้นำความคิดในสังคมอเมริกัน เช่น การแทรกซึมเข้าไปในวงการข่าวและสื่อสังคมออนไลน์ โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มขวาจัดและซ้ายจัดในอเมริกา เอวานา ฮู ซีอีโอ ขององค์กร Omelas ที่ศึกษาเกี่ยวกับความคิดสุดโต่งออนไลน์ ให้สัมภาษณ์กับวีโอเอว่า วิธีการลักษณะนี้ของรัสเซียสามารถสร้างความสนใจและมีปฏิกิริยาตอบโต้บนสื่อออนไลน์โดยผู้ใช้สื่อจำนวนนับล้านคน เธอบอกว่าโพสต์เหล่านี้ถูกออกแบบมาอย่างดี เพื่อกระตุ้นความรู้สึก ทั้งทางบวกและทางลบต่อเป้าหมาย องค์กรของเธอซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงวอชิงตัน วิเคราะห์เนื้อหาที่รัสเซียปล่อยออกมาบนสื่อสังคมไลน์ 1 ล้าน 2 แสนโพสต์บน 11 แพลตฟอร์มช่วง 90 วัน ก่อนและหลังวันเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 3 พฤศจิกายน US-politics-vote-RALLY องค์กร Omelas พบว่าสื่อของรัสเซียที่ปล่อยข้อมูลออกมามากในอันดับต้นๆได้เเก่ RT, Sputnik, TASS และ Izvestia TV Omelas…

สหรัฐฯ – อิรัก ตึงเครียด! หลังเหตุจรวดโจมตีสถานทูตอเมริกันในกรุงแบกแดด

Loading

Security forces inspect the scene of a rocket attack at the gate of al-Zawra public park in Baghdad, Iraq, Nov. 18, 2020. Rockets struck Iraq’s capital on Tuesday with four landing inside its heavily fortified Green Zone. เกิดเหตุจรวดโจมตีบริเวณเขตอาคารสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงแบกแดด ในช่วงข้ามคืนวันอังคารที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดความตึงเครียดทางการทูตเพิ่มขึ้นระหว่างสหรัฐฯ กับอิรัก หลังจากที่สหรัฐฯ เพิ่งจะประกาศถอนทหารอเมริกันอีก 500 นายออกจากอิรัก สื่อของอิรักรายงานว่า จรวดจำนวน 7 ลูกที่ยิงมาจากกลุ่มติดอาวุธที่สนับสนุนรัฐบาลอิหร่าน ตกลงในเขตปลอดภัยสูงสุด หรือ กรีนโซน ในกรุงแบกแดด โดยเชื่อว่ามีเป้าหมายโจมตีอาคารสถานทูตสหรัฐฯ…

สหรัฐฯ ประกาศ “ความก้าวหน้าอันเป็นรูปธรรม” ในการต่อต้านภัยคุกคามความมั่นคงจากจีน

Loading

US Attorney General William Barr speaks on Operation Legend, the federal law enforcement operation, during a press conference in Chicago, Illinois, on September 9, 2020. (Photo by KAMIL KRZACZYNSKI / AFP) กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เผยว่า “มีความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม” ในโครงการ “China Initiative” ที่เป็นความริเริ่มของรัฐบาลในการต่อต้านความพยายามของจีนในการก่อกวนความมั่นคงและเศรษฐกิจของประเทศ ตามข้อมูลในแถลงการณ์ที่ออกมาในวันจันทร์ตามเวลาในสหรัฐฯ ซึ่งเป็นวันครบรอบ 2 ปีของการดำเนินโครงการดังกล่าว วิลเลียม บารร์ รัฐมนตรียุติธรรมกล่าวว่า ทางกระทรวงฯ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการต่อต้านภัยคุกคามจากจีน แต่ย้ำด้วยว่า ยังมีหลายเรื่องที่ต้องดำเนินการอยู่ และกระทรวงยุติธรรมจะเดินหน้าจัดการกับผู้ที่ขโมย หรือเข้าถึง “ทุน” ทางปัญญาของสหรัฐฯ โดยไม่ถูกกฎหมายให้ได้ สหรัฐฯ…

ก่อการร้ายเขย่ากรุงเวียนนาของออสเตรีย : ใครทำ?

Loading

ที่มาภาพ: https://www.bbc.com/news/world-europe-54798508 Written by Kim หลายชั่วโมงก่อนที่ออสเตรียจะปิดเมือง (lockdown) อีกครั้ง เพื่อสะกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 เมื่อ 2 พฤศจิกายน 2020 ได้เกิดเหตุก่อการร้ายในกรุงเวียนนา โดยที่เกิดเหตุหลายแห่งอยู่ระหว่างการตรวจสอบของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคง ขณะที่ผู้นำยุโรปรวมทั้งนายกรัฐมนตรีอังกฤษบอริส จอห์นสันและประธานาธิบดีฝรั่งเศสเอ็มมานูเอล มาครงร่วมประณามการโจมตีดังกล่าว ซึ่งแสดงเครื่องหมายการก่อการร้ายของ ISIS ที่คล้ายคลึงกับปฏิบัติการโจมตีกรุงปารีส (พฤศจิกายน 2015) และกรุงบรัสเซลส์ (มีนาคม 2016)[1]           การโจมตีแบบประสานงานของผู้ก่อการร้าย (ไม่ทราบจำนวน) ใช้อาวุธปืนไรเฟิลและปืนพกกราดยิง 6 จุดในกรุงเวียนนาเมื่อ 20.00 น. ของวันที่ 2 พฤศจิกายน 2020 ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 คน (ชาย 2 หญิง 2) บาดเจ็บมากกว่า 15 คน (มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงคนร้ายเสียชีวิต 1 คน) ทางการออสเตรียระบุว่า เหตุดังกล่าวเป็นการก่อการร้าย ขณะที่ข่าวลือแพร่สะพัดในโลกออนไลน์รวมถึงการจับตัวประกันที่โรงแรมฮิลตันและร้านซูชิญี่ปุ่นสถานที่เกิดเหตุทั้ง 6 แห่งยังคงอยู่ภายใต้การตรวจสอบของหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายและความมั่นคง ทางการออสเตรียเตือนให้ประชาชน (พลเรือน) หลีกเลี่ยงการเดินทางใจกลางกรุงเวียนนา โดยเฉพาะสถานีขนส่งสาธารณะ เนื่องจากหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายได้เปิดปฏิบัติการรักษาความมั่นคงขนาดใหญ่ เพื่อพิสูจน์ทราบและกักตัวผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย มีการปิดกั้นพื้นที่สถานบันเทิง ธุรกิจและถนนรอบเมือง รถยนต์กู้ภัยฉุกเฉินมุ่งสู่ถนนใจกลางกรุงเวียนนาซึ่งเป็นทางสัญจรหลักที่มีบาร์และร้านอาหารจำนวนมาก…