สหรัฐฯ ผลักดันระบบคนเข้าเมืองเเบบเน้น ‘คุณสมบัติ’ เเทนระบบครอบครัว

Loading

ปัจจุบัน สหรัฐฯ มีนโยบายที่บรรดานักวิจารณ์เรียกว่า “การย้ายถิ่นระบบห่วงโซ่” หรือ chain immigration เเต่คนที่เห็นด้วยเรียกว่า “การย้ายถิ่นระบบครอบครัว” หรือ family-based immigration ระบบคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับระบบสนับสนุนหรือ sponsorship ที่ผู้ถือสัญชาติอเมริกันเเละผู้มีสิทธิ์อาศัยอยู่ถาวรอย่างถูกกฏหมาย หรือผู้ถือใบเขียว สามารถสนับสนุนให้ญาติของตนจากประเทศบ้านเกิด ย้ายเข้ามาอาศัยในสหรัฐฯ ได้ คู่สมรสเเละบุตรที่ยังอายุไม่ครบวัยเบญจเพศตามกฏหมาย มีสิทธิ์ในการสมัครในฐานะสมาชิกครอบครัวที่ใกล้ชิด เเละไม่จำเป็นต้องรอให้ได้หมายเลขวีซ่าเสียก่อน และสำหรับสมาชิกครอบครัวในกลุ่มนี้ ไม่มีการจำกัดจำนวนโควต้าว่าได้กี่คน โดยผู้ถือสัญชาติเพียงเเค่ยื่นใบสมัครเพื่อร้องขอเท่านั้น เเต่สำหรับสมาชิกครอบครัวในฐานะพี่ชายหรือน้องชาย พี่สาวหรือน้องสาว เเละบุตรที่โตเป็นผู้ใหญ่เเล้ว ขั้นตอนการพิจารณาอาจจะนานกว่าเเละยากมากขึ้น Naomi Tsu รองประธานด้านกฏหมายแห่ง Southern Poverty Law Center กล่าวว่า การขอวีซ่าย้ายมาอยู่สหรัฐฯ ให้กับพี่น้อง เป็นเรื่องยากมาก เพราะถือว่าเป็นสมาชิกครอบครัวอันดับท้ายๆ เเละจะยากขึ้นไปอีกหากเป็นประชาชนจากประเทศที่มีคนย้ายถิ่นฐานเข้ามาอยูในสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากเเล้ว Stephen Lee อาจารย์ด้านกฏหมายคนเข้าเมืองเเละการจัดการ ที่มหาวิทยาลัยเเคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตเออร์ไวน์ กล่าวกับรายการวิทยุเอ็นพีอาร์ว่า มีหลายกรณีที่ญาติอาจถูกตัดสิทธิ์ เขายกตัวอย่างว่า หากผู้สมัครเป็นผู้ก่อการร้าย เเม้ว่าจะเป็นคู่สมรสของผู้ถือสัญชาติ ก็ไม่มีสิทธิ์ย้ายเข้ามาอยู่ในสหรัฐฯ…

ศาลสหรัฐฯไฟเขียวห้ามมุสลิม 6 ชาติเข้าประเทศ

Loading

The Supreme Court ruled in favor of Mr Trump’s controversial travel ban, delivering a victory to the President AP ศาลสูงสุดสหรัฐฯ มีคำสั่งอนุญาตให้บังคับใช้มาตรการแบนคนจากชาติมุสลิม6ประเทศ ได้อย่างเต็มรูปแบบ แม้ว่าจะอยู่ระหว่างรอพิจารณาคำร้องอุทธรณ์ วันนี้ (5 ธ.ค.60) ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา มีคำตัดสินว่า รัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ สามารถบังคับใช้คำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแก้ไข ที่เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบหรือห้ามนักเดินทางจาก 6 ชาติมุสลิมและอีก 2 ประเทศ เดินทางเข้าสหรัฐฯ ได้อย่างเต็มรูปแบบ แม้ว่ากำลังอยู่ในระหว่างการอุทธรณ์ก็ตาม ซึ่งมาตรการนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีได้ผลักดันมาตรการป้องกันผู้ก่อการร้ายเดินทางเข้าประเทศมานานเกือบ 1 ปี ท่ามกลางเสียงคัดค้าน กล่าวหาว่า มาตรการของเขามุ่งเป้าไปที่ชาวมุสลิม, ละเมิดรัฐธรรมนูญ และไม่ได้ส่งเสริมความมั่นคงตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง ทำให้มาตรการฉบับที่ 3 ซึ่งนายทรัมป์ประกาศใช้แทนคำสั่งฉบับที่ 2 ที่หมดอายุเมื่อเดือนกันยายน ได้เพิ่มเวเนซุเอลา และเกาหลีเหนือเข้ามาด้วย เพื่อลดข้อครหา ทั้งนี้ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยได้ยื่นฟ้องร้องคัดค้านทันที ที่ศาลในเมืองริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย และนครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งตัดสินเมื่อเดือนตุลาคม ให้หยุดการบังคับใช้มาตรการห้ามนักเดินทางจากประเทศ ชาด, อิหร่าน, ลิเบีย, โซมาเลีย, ซีเรีย และเยเมน ในระหว่างที่กำลังมีการฟ้องร้องทางกฎหมาย แต่ล่าสุด ศาลสูงสุดสหรัฐฯ กลับคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ 2 ศาลแล้ว โดยศาลสูงสุดตัดสินใจอนุญาตให้บังคับใช้คำสั่งของประธานาธิบดีในทันที เพื่อจำกัดการเดินทางของคนจากประเทศที่มีความเสี่ยงก่อการร้ายสูง ————————————————————– ที่มา : TNN24 / 5 ธ.ค. 60, 11.59 น. Link :  http://www.tnnthailand.com/news_detail.php?id=155744&t=news

เตือน 66% ของแอป Cryptocurrency ยอดนิยมบน Android ไม่เข้ารหัสข้อมูล

Loading

จากการที่กระแสงเงินดิจิทัลหรือ Cryptocurrency เริ่มบูมมากขึ้น ส่งผลให้มีแอปพลิเคชันสำหรับแลกเปลี่ยนหรือทำธุรกรรมโดยใช้ Cryptocurrency เป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม แอปพลิเคชันเหล่านี้ยังขาดการออกแบบให้มีความมั่นคงปลอดภัย เช่น การเข้ารหัสข้อมูล High-Tech Bridge บริษัทที่ปรึกษาด้านความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศชื่อดัง ได้ออกมาแจ้งเตือนถึงภัยคุกคามบนแอปพลิเคชัน Cryptocurrency ซึ่งนอกจากจะพบว่ามีแฮ็กเกอร์สร้างแอปพลิเคชันปลอมเพื่อหลอกขโมยชื่อบัญชีและรหัสผ่านของผู้ใช้แล้ว ยังแอปพลิคเชันแท้ส่วนใหญ่ยังขาดการพัฒนาให้มีความมั่นคงปลอดภัย ส่งผลให้อาจถูกแฮ็กเกอร์ขโมยข้อมูลสำคัญออกไปได้ High-Tech Bridge ใช้ Mobile X-Ray ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์สำหรับวิเคราะห์แอปพลิเคชันบนอุปกรณพกพาที่พัฒนาขึ้นมาเอง ในการสำรวจแอปพลิเคชัน Crytocurrency ยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันสำหรับติดตามค่าเงิน แลกเปลี่ยนเงินตรา หรือ Wallet จำนวนรวม 90 แอป พบสถิติที่น่าสนใจ ดังนี้ ร้อยละ 94 ใช้การเข้ารหัสข้อมูลแบบเก่าที่ไม่แนะนำให้ใช้กันแล้ว ร้อยละ 66 ไม่ได้ใช้ HTTPS ในการเข้ารหัสข้อมูลที่รับส่งกับภายนอก ร้อยละ 44 มีการ Hard Code รหัสผ่านลงไปในโค้ดของแอปพลิเคชันเลย ร้อยละ 94 ของแอปพลิเคชันมีความเสี่ยงระดับปานกลางหรือสูงกว่ามากกว่า 3 รายการ…

อินโดนีเซียเตือนภัย “ภูเขาไฟอากุง” อาจระเบิดบนเกาะบาหลี

Loading

สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียและประเทศใกล้เคียงมีคำเตือนไปยังสายการบินต่างๆ ที่จะเดินทางผ่านภูเขาไฟอากุง (Agung) บนเกาะบาหลี หลังจากภูเขาไฟแห่งนี้ปล่อยควันไฟและเถ้าถ่านสูงกว่า 6,000 เมตร ทางการอินโดฯ ได้เพิ่มระดับการเตือนภัยของภูเขาไฟอากุงเป็น “ระดับสีแดง” ซึ่งเป็นระดับสูงสุด แต่สนามบินนานาชาติของบาหลียังคงเปิดให้บริการตามปกติ อย่างไรก็ตาม สายการบินบางแห่ง รวมทั้ง AirAsia Garuda และ Virgin Australia ต่างประกาศยกเลิกเที่ยวบินที่เข้าและออกจากเกาะบาหลี ตั้งแต่วันอาทิตย์ โดยผู้โดยสารสามารถขอค่าตั๋วคืนได้ตามระเบียบข้อบังคับของแต่ละสายการบิน เกาะบาหลีคือแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของอินโดนีเซีย แต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังเกาะแห่งนี้เกือบ 5 ล้านคน แต่ธุรกิจต่างๆ เริ่มซบเซาตั้งแต่เดือนกันยายน เมื่อภูเขาไฟอากุงเริ่มการปะทุรอบใหม่ ———————————————————- ที่มา : VOA Thai / พฤศจิกายน 27, 2017 Link : https://www.voathai.com/a/indonesia-bali-volcano-tourism/4137323.html

เตือนภัย! อีเมลปลอมแอบอ้างเป็น Apple หลอกให้ยืนยันตัว เวอร์ชันภาษาไทย

Loading

ก่อนหน้านี้เราเคยได้เตือนภัย เว็บ Apple ปลอม อีเมลปลอมอ้างเป็น Apple ส่งมาหลอกเอารหัส โปรดระวัง ซึ่งมาในรูปแบบของ iCloud แต่รอบนี้ก็มาในเวอร์ชันที่เนียนมากยิ่งขึ้น โดยมาพร้อมกับภาษาไทยพร้อมทั้งแจ้งล็อคชั่วคราวให้ยืนยันตัวตนเพื่อปลดล็อค เตือนภัย! อีเมลปลอมแอบอ้างเป็น Apple ครั้งนี้ผมเองก็เกือบไปเหมือนกัน เพราะมาค่อนข้างเนียน เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสได้ใช้ Firefox และการได้รับอีเมลเตือนมาเกี่ยวกับ Mozilla Firefox (หัวอีเมล) ก็ถือว่าเนียนพอสมควร โดยหลอกว่าบัญชีถูกล็อคชั่วคราว ให้ทำการยืนยันซึ่งผมเองก็สองจิตสองใจอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยความอยากรู้ก็เลยคลิกเข้าไปดู แต่จากการตรวจสอบ URL ค่อนข้างไม่น่าเชื่อถือ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เลยลองวัดใจคลิกเข้าไปดู ก็เข้าข่ายแจ้งเตือนด้านความปลอดภัย (ดังภาพ) แต่ผมก็ลองพยายามเชื่อมต่อดูเพราะอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร หลังจากกรอกรหัสปลอม ๆ ไปเพื่อดูว่าจะบบจะตอบรับเช่นไร สรุปคือระบบให้ยืนยันบัญชี (อันตรายมาก) โดยใส่ทั้งชื่อและที่อยู่, คำถามปลอดภัย, รหัสบัตรเครดิต, ฯลฯ เรียกได้ว่าเอามันทุกอย่างเลยจริง ๆ ซึ่งก็เลยอยากเอามาเตือนภัยให้รู้ทันกันครับ ————————————————————————————- ที่มา : imod bu yugioh2500 / 26 พฤศจิกายน 2560 Link : https://www.iphonemod.net/fake-apple-email-phishing-thai.html

พบสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์เก็บข้อมูลส่งกลับ “กูเกิล” ได้ แม้ตัวเครื่องจะไม่มีซิม

Loading

หากยังจำได้เมื่อประมาณปีที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนยี่ห้อเสี่ยวหมี่ (Xiaomi) เคยเกิดกรณีอื้อฉาว เนื่องจากตัวเครื่องมีการแอบส่งข้อมูลของผู้ใช้งานในเครื่องกลับไปที่ประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิต ล่าสุด เหตุการณ์ดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้วกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ที่พบว่ามีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่งกลับบริษัทกูเกิล (Google) เช่นกัน แม้ว่าผู้ใช้งานจะปิดฟีเจอร์ที่สามารถระบุโลเคชันของเครื่องไว้ก็ตาม เว็บไซต์ข่าวที่รายงานเรื่องนี้เป็นแห่งแรก คือ Quartz ที่พบว่า สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์มีการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือในบริเวณใกล้เคียง และแชร์ข้อมูลเหล่านั้นกับกูเกิล ทาง Quartz พบว่า สมาร์ทโฟนที่รันระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ สามารถลักลอบส่งข้อมูลกลับได้ แม้จะปิดฟีเจอร์โลเคชัน หรือไม่มีซิมการ์ดอยู่ในตัวเครื่องก็ตาม และไม่มีช่องทางใด ๆ ที่จะสามารถปิดการทำงานนี้ได้เลย ด้านองค์กรที่รณรงค์เรื่องสิทธิของผู้บริโภคได้ออกมาแสดงความเห็นว่า การกระทำเช่นนี้เป็น “การทรยศหักหลังผู้ใช้งาน” ขณะที่กูเกิล ออกมาบอกว่า ข้อมูลเหล่านั้นไม่มีการเก็บไว้ และจะมีการอัปเดตระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เพื่อยุติการกระทำดังกล่าว กูเกิลให้เหตุผลว่า บริษัทมีการเก็บข้อมูลเพื่อปรับปรุงบริการด้านสปีด และประสิทธิภาพของการส่งข้อความเท่านั้น พร้อมบอกด้วยว่า ไม่เคยนำข้อมูลเซลล์ไอดี (Cell ID) มารวมอยู่ในข้อมูลที่จัดเก็บนี้แต่อย่างใด  อย่างไรก็ตาม กลุ่มรณรงค์ด้านสิทธิและความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์ กล่าวว่า การค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคมีสิทธิในการควบคุมการทำงานเบื้องหลังของสมาร์ทโฟนของตัวเองน้อยมาก รวมถึงตั้งคำถามกลับไปยังกูเกิลด้วยว่า ยังมีอะไรอีกไหมที่ทำงานอยู่เบื้องหลังสมาร์ทโฟนโดยที่ผู้บริโภคไม่รู้ตัว ———————————————————– ที่มา : MGR online…