สถานการณ์บ้านเมืองที่ผู้คนสนใจมากที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้ทหารและพลเมืองจำนวนมากต้องสูญเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เราได้เห็นทหารทำหน้าที่อย่างดีในการต่อสู้ปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติจนนาทีสุดท้ายก่อนที่จะถึงเวลาหยุดยิง
สถานการณ์บ้านเมืองที่ผู้คนสนใจมากที่สุดในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ทำให้ทหารและพลเมืองจำนวนมากต้องสูญเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ เราได้เห็นทหารทำหน้าที่อย่างดีในการต่อสู้ปกป้องรักษาอธิปไตยของชาติจนนาทีสุดท้ายก่อนที่จะถึงเวลาหยุดยิง
ทหารหาญทุกท่านสมควรได้รับการยกย่องที่ช่วยป้องกันแผ่นดินไทยของเราด้วยหัวใจที่กล้าหาญ ยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อคนไทยทุกคน
แม้สงครามทางการรบทางกายภาพ จะเริ่มสงบไปแล้ว แต่สงครามไซเบอร์ยังระอุอยู่ ซึ่งสํานักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) ออกมาระบุว่า ยังมีกลุ่มปฏิบัติการ IO ฝั่งตรงข้ามเตรียมข้อความ-แฮชแท็กไว้ล่วงหน้า พร้อมปั่นกระแสผ่าน MMO และ Bot เพื่อโจมตีทางจิตวิทยา และสร้างผลกระทบต่อการรับรู้ของสังคมไทย
รวมทั้งหน่วยงาน ThaiCERT/NCSA ยังคงปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังการโจมตีทางไซเบอร์ในหลายรูปแบบ ทั้ง DDoS (Distributed Denial of Service) การเข้าถึงระบบด้วยบัญชีที่รั่วไหล และการใช้ซอฟต์แวร์ผิดกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นช่องทางให้กลุ่มไม่หวังดีเจาะเข้าระบบของรัฐและองค์กรสำคัญ
ปัญหาระหว่างไทยและกัมพูชา เราจะพบว่าความขัดแย้งนี้ไม่จำกัดอยู่ที่ชายแดน แต่ขยายสู่วงการไซเบอร์ โดยทั้งสองฝ่ายต่างกล่าวหาว่าอีกฝ่ายใช้การโจมตีทางไซเบอร์ (cyber attacks) และสงครามข่าวสารเพื่อบ่อนทำลายความชอบธรรมของกันและกัน
รัฐบาลและสื่ออย่าง Nation Thailand รายงานว่า กัมพูชาเป็นผู้ริเริ่มการโจมตีไซเบอร์ เช่น การใช้ DDoS attacks มากกว่า 500 ล้านครั้ง ใน 24 ชั่วโมง เพื่อทำให้เว็บไซต์รัฐบาลและเอกชนของไทยล่ม นอกจากนี้ ยังมีการใช้บอท สำหรับการแจ้งรายงานจำนวนมากของเพจไทยบนแพลตฟอร์มอย่าง Facebook และ X เพื่อให้ถูกปิดอัตโนมัติ รวมถึงการสร้างบัญชีปลอมเพื่อแพร่กระจายข้อมูลเท็จ เช่น การอ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยถูกยิงตกหรือกัมพูชายึดพื้นที่คืนได้
การโจมตีทางไซเบอร์นี้อาจเชื่อมโยงกับเครือข่ายอาชญากรรมไซเบอร์ (cybercrime) ในกัมพูชา ซึ่งถูกมองว่าเป็น “ศูนย์กลางอาชญากรรมเทคโนโลยีโลก” (Scambodia) แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และสแกมเมอร์ในกัมพูชา ซึ่งเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และแรงงานทาส ได้หันมาใช้เทคโนโลยีโจมตีไทย โดยเฉพาะ DDoS attacks และการใช้บอทเพื่อ กระจายข้อมูลเท็จบนโซเชียลมีเดีย
สงครามข่าวสารเป็นส่วนสำคัญของความขัดแย้งนี้ ทั้งสองฝ่ายใช้เทคโนโลยีเพื่อบิดเบือนข้อมูลและสร้างความสับสนให้ประชาชน ข้อมูลเท็จเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในไตรมาส 2 ปี 2025 โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทชายแดน ตัวอย่างเช่น การกล่าวหาว่าไทยใช้สารเคมีโจมตีกัมพูชา ซึ่งถูกพบว่าเป็นภาพจากไฟป่าในลอสแองเจลิส ไม่ใช่การโจมตีทางทหาร
AI มีบทบาทสำคัญในการขยายผลกระทบ มีการใช้ AI เพื่อบิดเบือนเนื้อหาและลดความน่าเชื่อถือของสื่อไทย ตัวอย่างเช่น การใช้ Deepfakes เพื่อสร้างข่าวปลอมเกี่ยวกับการโจมตีทางทหาร หรือการใช้บอทสร้างอวาตาร์ปลอมเพื่อสแปมความเห็นต่อต้านไทย
การโจมตีทางไซเบอร์เหล่านี้สอดคล้องกับ รายงาน Global Risks Report 2025 ของ World Economic Forum (WEF) วิเคราะห์ความเสี่ยงระดับโลกโดยอ้างอิงจาก Global Risks Perception Survey (GRPS) และข้อมูลอื่นๆ รายงานระบุว่า ความเสี่ยงสูงสุดสองอันดับแรกสำหรับระยะสั้น (2 ปีข้างหน้า) จัดอันดับตามความรุนแรงและโอกาสการเกิดขึ้น ได้แก่ ข้อมูลเท็จและการบิดเบือนข้อมูล (Misinformation and disinformation) และการจารกรรมทางไซเบอร์และสงครามไซเบอร์ (Cyber espionage and warfare)
WEF ระบุว่า ข้อมูลเท็จและการบิดเบือนข้อมูล เป็นการแพร่กระจายของข้อมูลเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด ซึ่งมักถูกขยายโดย AI และระบบอัตโนมัติ ส่งผลให้ความเชื่อถือในสื่อลดลง เพิ่มความแตกแยกในสังคม และทำลายภาพลักษณ์ของประเทศอื่น ๆ รวมถึงเนื้อหาปลอมแปลง ปลอมตัว หรือถูกจัดการ ทำให้ยากต่อการแยกแยะข้อมูลที่ถูกต้อง
ส่วนการจารกรรมทางไซเบอร์และสงครามไซเบอร์ เป็นกิจกรรมทางไซเบอร์ที่มุ่งร้าย รวมถึงการจารกรรมและการโจมตี เพื่อคุกคามโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและความมั่นคงแห่งชาติ รวมถึงการโจมตีเพื่อขโมยข้อมูลลับความขัดแย้งระหว่างประเทศกรณีอื่นๆ ที่มีลักษณะคล้ายกัน เช่น สงครามรัสเซีย-ยูเครน หรือความขัดแย้งอิหร่าน-อิสราเอล ก็จะมีการต่อสู้กันในรูปแบบของ “สงครามไฮบริด” (hybrid warfare) ที่ผสมผสานการโจมตีทางกายภาพเข้ากับไซเบอร์และข้อมูลบิดเบือนกรณีของรัสเซีย-ยูเครน มีการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างเต็มรูปแบบ
โดยรัสเซียได้ลงทุนมหาศาลในการใช้ AI เพื่อยกระดับสงครามข้อมูลข่าวสาร (Information Warfare) ต่อโลกตะวันตก เพื่อการจารกรรมข้อมูลและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ
ส่วนกรณีของอิหร่าน-อิสราเอล จะเน้นสงครามจิตวิทยาและการรับรู้ โดยมีการสร้างวิดีโอชวนเชื่อโดยใช้ภาพจากวิดีโอเกมและฟุตเทจเก่ามาตัดต่อใหม่เพื่อสร้างความเข้าใจผิดให้แก่ประชาชน จนถูกขนานนามว่าเป็น “สงคราม AI ครั้งแรก”
ในกรณีของสถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา สงครามไซเบอร์ ยังถือว่าเป็นเวอร์ชั่นย่อเมื่อเทียบความขัดแย้งของสองกรณีข้างต้น เพราะมีลักษณะเชื่อมโยงกับองค์กรอาชญากรรม (เช่น แก๊งคอลเซ็นเตอร์) มากกว่าการสนับสนุนจากรัฐโดยตรง และมีขนาดเล็กกว่ามาก นอกจากนี้เป้าหมายของอิหร่านหรือรัสเซียกว้างกว่าคือ มุ่งโจมตีในระดับโลก ในขณะที่กรณีไทย-กัมพูชา ยังคงจำกัดอยู่ในระดับภูมิภาค
การใช้ AI และเทคโนโลยีในสงครามนี้ไม่เพียงเพิ่มความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ยังคุกคามความมั่นคงอาเซียน โดยเฉพาะความร่วมมือด้าน CERT (Computer Emergency Response Team) ผู้เชี่ยวชาญเรียกร้องให้มีการจัดการข้อมูลที่ดีขึ้นเพื่อต่อสู้กับ Fake news อย่างไรก็ตามความไม่สมดุลทางทหาร ทำให้ไซเบอร์กลายเป็น “อาวุธราคาถูก” สำหรับฝ่ายที่อ่อนแอกว่า ในระยะยาวการขาดกฎระเบียบด้าน AI ในภูมิภาคอาจนำไปสู่การใช้ Deepfakes และการโฆษณาชวนเชื่อแบบอัตโนมัติ (Automated Propaganda) ที่รุนแรงขึ้น
โดยเฉพาะในกัมพูชาที่กำลังพัฒนา AI แต่ยังขาดโครงสร้างพื้นฐานและกฎหมายด้านไซเบอร์ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา แสดงให้เห็นว่า AI และเทคโนโลยีได้เปลี่ยนสงครามชายแดนแบบดั้งเดิมให้กลายเป็นสงครามไฮบริด ซึ่งปัญหานี้ก็ต้องการการเจรจาทวิภาคีและภูมิภาค เพื่อสร้างบรรทัดฐานไซเบอร์ และต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ การหยุดยิงและความร่วมมือด้านข้อมูลจะเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อสันติภาพในภูมิภาค
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 2 สิงหาคม 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1192534