เดวิด โมลด์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี และผู้อำนวยการด้านโซลูชัน เซลส์ฟอร์ซ ประเทศไทย เปิดมุมมองว่า เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ Agentic AI หรือเทคโนโลยี AI เอเจนต์อัจฉริยะซึ่งทำงานได้ด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติที่สามารถดำเนินงาน ตัดสินใจ และสร้างผลลัพธ์เชิงบวกได้โดยที่มนุษย์ไม่จำเป็นต้องคอยกำกับการทำงาน
โดยเทคโนโลยีนี้มีศักยภาพในการขับเคลื่อนตลาดแรงงานดิจิทัลมูลค่าสูงถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งนับเป็นโอกาสสำคัญของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม การใช้ประโยชน์จาก Agentic AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกและการบริหารจัดการความซับซ้อนของเทคโนโลยีอย่างรอบด้าน
วางกลยุทธ์แบบบูรณาการ
ท่ามกลางกระแสของสตาร์ทอัพและโซลูชัน AI ที่หลั่งไหลเข้าสู่ตลาดอย่างรวดเร็ว ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายสารสนเทศ (Chief Information Officer :CIO) จำเป็นต้องมองหาโซลูชันที่ให้ผลลัพธ์เชิงคุณภาพและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ใช่เพียงแค่การสาธิตเทคโนโลยีที่เน้นความน่าตื่นตาตื่นใจเท่านั้น
การก้าวข้ามความท้าทายในการเชื่อมโยงระบบเข้าด้วยกันและความซับซ้อนในรูปแบบอื่นๆ ถือเป็นกลไกสำคัญในการนำ AI มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ชัดเจน
ดังนั้น เพื่อก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้และสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) อย่างสูงสุด CIO ควรพิจารณากลยุทธ์ดังต่อไปนี้
1. วางกลยุทธ์การใช้งาน Agentic AI แบบบูรณาการ : แทนที่จะพัฒนาโครงการ AI แบบแยกส่วนเฉพาะจุด CIO ควรใช้แนวทางที่ยึดภาพรวม (Pattern-Centric Approach) โดยเน้นการระบุขั้นตอนและรูปแบบการทำงานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั่วทั้งองค์กร เพื่อขยายขีดความสามารถและเพิ่มประสิทธิภาพแบบวงกว้างและให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่ดีกว่า
AI ควรถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีอีกชั้นหนึ่งที่ช่วยเพิ่มความชาญฉลาดในการทำงาน (Layer of Intelligence) ซึ่งหลอมรวมอยู่ในทุกกระบวนการทางธุรกิจ ไม่ใช่เพียงเครื่องมือเฉพาะทางเท่านั้น
ข้อมูลเปรียบเสมือน ‘ออกซิเจน’
2. วางรากฐานข้อมูลให้แข็งแกร่ง : ประสิทธิภาพของ AI Agent นั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับข้อมูลที่ Agent สามารถเข้าถึงได้ องค์กรไทยที่กำลังเริ่มการเปลี่ยนผ่านสู่ Agentic AI จำเป็นต้องมีระบบที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลธุรกิจและ Meta Data ที่มีคุณภาพ เพื่อป้อนบริบทข้อมูลที่ถูกต้องให้ AI Agent สำหรับการตัดสินใจได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว
ผลการวิจัยด้าน State of IT ล่าสุดของเซลส์ฟอร์ซพบว่า นักพัฒนา 39% ระบุว่าคุณภาพและความถูกต้องแม่นยำของข้อมูลในองค์กร ยังไม่เพียงพอต่อการพัฒนาและใช้งาน Agentic AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
การจัดมาตรฐานข้อมูล (Data Standardization) ถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจสำคัญที่ CIO ควรเป็นผู้นำในการผลักดัน เพื่อให้ข้อมูลมีความถูกต้อง สอดคล้อง และพร้อมใช้งานในทุกมิติ ควบคู่ไปกับการขจัดปัญหาระบบข้อมูลที่แยกส่วน (Silo) และการยกระดับระบบไอทีพื้นฐานให้ทันสมัย
ในยุคเริ่มต้นของบิ๊กดาต้ามีคำกล่าวที่ว่า “ข้อมูลเปรียบเสมือนน้ำมันดิบ” แต่ในยุคของ Agentic AI ข้อมูลเปรียบเสมือนออกซิเจน เพราะหากไม่มีข้อมูลที่มีคุณภาพและปริมาณเพียงพอ ทั้ง AI และ AI Agent ก็จะไม่สามารถทำงานหรือพัฒนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3. ใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบและสร้างความน่าเชื่อถือ : ในอุตสาหกรรมที่มีกฎระเบียบควบคุมเข้มงวด เช่น การเงิน การแพทย์ และในภาครัฐ CIO ต้องเผชิญกับแรงกดดันที่สูงกว่าในการใช้งาน AI อย่างมีความรับผิดชอบและการปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด การสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยีจึงมีความสำคัญมาก
จากการสำรวจพบว่า 52% ของ CIO ทั่วโลกระบุว่า “การขาดข้อมูลที่เชื่อถือได้” เป็นหนึ่งในความกังวลหลักต่อการนำ AI มาใช้
การสร้างความไว้วางใจต้องมาพร้อมกับความโปร่งใสในการทำงานของ AI Agent (Transparency) ความสามารถในการอธิบายเหตุผลของการตัดสินใจ (Explainability) และการควบคุมกระบวนการเพื่อให้สามารถดำเนินการในขั้นตอนถัดไปได้อย่างมั่นใจ (Control)
มนุษย์และ AI ต้องร่วมมือกัน
4. ปรับใช้ AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจ และแสดงผลลัพธ์อย่างเป็นรูปธรรม : ทักษะทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ CIO ต้องสามารถเชื่อมโยงการดำเนินงานด้าน Agentic AI ให้สอดคล้องกับเป้าหมายทางธุรกิจโดยรวม และสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า AI ช่วยขับเคลื่อนการเติบโต เพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับประสบการณ์ของทั้งลูกค้าและพนักงานอย่างไร
เมื่อซีไอโอมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ที่วัดได้ ก็จะสามารถแสดงให้เห็นว่า AI คือสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ขององค์กร การสื่อสารถึงวัตถุประสงค์และประโยชน์ของแรงงานดิจิทัล (Digital Labor) อย่างโปร่งใสนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะในแง่ที่ระบบอัตโนมัติจะสามารถช่วยลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำกันเป็นประจำให้กับพนักงาน และเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน
5. ให้ความสำคัญกับบทบาทของมนุษย์ในการนำ AI มาใช้งาน : ปัจจุบัน CIO ต้องรับบทบาทเป็นผู้บริหารด้านการจัดการความรู้ของบริษัท หรือ “Chief Education Officer” โดยจัดการกับความท้าทายด้านวัฒนธรรมภายในองค์กรแบบเชิงรุก และขับเคลื่อนการสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้นควรสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาให้พนักงานในองค์กรเข้าใจว่า AI ไม่ได้มาแทนที่แรงงานมนุษย์ หรือมาเป็นอุปสรรคในกระบวนการทำงาน แต่จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพให้กับพนักงานเพื่อให้สามารถใช้เวลากับงานเชิงกลยุทธ์ หรืองานเชิงสร้างสรรค์ และงานที่ต้องใช้ความสามารถขั้นสูง
ที่สำคัญยังมี การส่งเสริมการเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskilling) และยกระดับทักษะเดิม (Upskilling) อย่างต่อเนื่อง และ อีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญคือ การสร้างความเชื่อมั่นในหมู่พนักงาน
เพื่อปลดล็อกศักยภาพการทำงาน และสร้าง ROI ตอบแทนให้องค์กรอย่างเต็มรูปแบบผ่านการใช้ Agentic AI CIO ในไทยควรใช้แนวทางเชิงกลยุทธ์ที่เป็นระบบ ครอบคลุม คำนึงถึงวัฒนธรรมองค์กรและบริบทการทำงานของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ภูมิทัศน์ดิจิทัลของประเทศไทยกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การผสานรวม AI เข้ากับข้อมูลและระบบอัตโนมัติ โดยสอดรับกับสภาพตลาดในประเทศและรูปแบบของแรงงาน จะช่วยให้สามารถรับมือกับความซับซ้อน จุดประกายนวัตกรรม และขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ประสิทธิภาพที่เหนือกว่าและความสำเร็จในระยะยาว
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 19 มิถุนายน 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1185624