อาชญากรรมจากความเกลียดชังในสหรัฐฯ พุ่งเป็นประวัติการณ์

Loading

สถิติของอาชญากรรมที่เกิดจากความเกลียดชัง (hate crime) ในสหรัฐฯ พุ่งสูงอย่างรวดเร็วในปี 2021 จนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่เกือบ 11,000 ครั้ง ตามข้อมูลจากส่วนเสริมของรายงานประจำปีของสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI)   รายงานดังกล่าวระบุว่า คดีที่จัดให้อยู่ในกลุ่ม hate crime ในปี 2021 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 31% หรือจาก 8,263 ครั้งเป็น 10,840 ครั้ง   ก่อนหน้านี้ที่ออกมาเมื่อเดือนธันวาคม FBI รายงานว่า เกิดอาชญากรรมที่มาจากความเกลียดชังทั่วสหรัฐฯ ทั้งหมด 7,262 ครั้งในปี 2021 โดยอ้างอิงข้อมูลแบบไม่สมบูรณ์ครบถ้วนเนื่องจากหน่วยงานด้านรักษา กฎหมายราว 4,000 แห่งไม่สามารถส่งข้อมูลผ่านระบบของ FBI ได้ จนสำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ ต้องยอมรับตัวเลขผ่านระบบเก่าจากหน่วยงานประมาณ 3,000 แห่งเพื่อให้ได้ภาพอันสมบูรณ์   ไบรอัน เลวิน ผู้อำนวยการ Center for the Study of Hate and…

‘จีน’ นำหน้า ‘สหรัฐฯ’ ใน ‘เทคโนโลยีสำคัญ’ ถึง 37 จากทั้งหมด 44 แขนง รายงานวิจัยจากออสเตรเลียระบุ

Loading

    หน่วยงานคลังสมองในเครือของรัฐบาลออสเตรเลียระบุในรายงานการวิจัยว่า จีนเป็นผู้นำหน้าใครๆ ในโลกเทคโนโลยีแขนงปัญญาประดิษฐ์ ขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก โดรน และแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ขณะที่สหรัฐฯ ยังครองแชมป์ในแขนงการทำชิป และการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง   ประเทศจีนเวลานี้เป็นผู้นำหน้าใครๆ ทั่วโลกในเทคโนโลยีสำคัญๆ ถึง 37 แขนง จากทั้งสิ้น 44 แขนง รวมทั้งทางด้านขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดรน และแบตเตอรี่รถไฟฟ้า ทั้งนี้ ตามรายงานวิจัยของออสเตรเลียที่นำออกเผยแพร่เมื่อเร็วๆ นี้   จีนยังเป็นอันดับ 1 ของโลกในพวกเทคโนโลยีกลาโหม และเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับอวกาศ เมื่อพิจารณาจากแง่ของการทำวิจัยซึ่งมีผลกระทบอย่างสูง สถาบันนโยบายทางยุทธศาสตร์ของออสเตรเลีย (Australian Strategic Policy Institute หรือ ASPI) ระบุในรายงานฉบับดังกล่าว   ทั้งนี้ ASPI เป็นหน่วยงานคลังสมองด้านกลาโหมและนโยบายทางยุทธศาสตร์ ซึ่งตั้งฐานอยู่ในกรุงแคนเบอร์รา ก่อตั้งขึ้นโดยรัฐบาลออสเตรเลีย และได้รับเงินทุนจากพวกรัฐบาลต่างประเทศ ตลอดจนพวกบริษัทด้านกลาโหมและเทคโนโลยีด้วย   รายงานฉบับนี้ของ ASPI ระบุอีกว่า จีนยังมีความยอดเยี่ยมในแขนงอื่นๆ…

หอการค้าสหรัฐฯ เรียกร้องให้มีมาตรการควบคุม AI

Loading

  หอการค้าสหรัฐอเมริกา (USCC) เรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการควบคุมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อป้องกันไม่ให้กระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือกลายเป็นภัยความมั่นคง   USCC ชี้ว่านักกำหนดนโยบายและผู้นำด้านธุรกิจจะต้องเร่งกำหนดแนวทางกำกับดูแลด้านความเสี่ยง เพื่อสร้างความมั่นใจว่าปัญญาประดิษฐ์จะถูกใช้อย่างมีความรับผิดชอบ   ทาง USCC ยังประเมินว่าปัญญาประดิษฐ์จะเพิ่มมูลค่าการเติบทางเศรษฐกิจโลกสูงถึง 13 ล้านล้านเหรียญ (ราว 455 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2030 และเห็นด้วยว่าที่ผ่านมาเทคโนโลยีดังกล่าวช่วยเสริมศักยภาพทางการแพทย์และการป้องกันไฟป่าของรัฐ   โดยมีการประเมินว่า หน่วยงานรัฐบาลและองค์กรธุรกิจเกือบทุกแห่งจะนำปัญญาประดิษฐ์มาใช้ภายใน 20 ปีต่อจากนี้   ในทางกลับกัน ก็จำเป็นต้องมีความพร้อมรับมือกับภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นจากปัญญาประดิษฐ์ในอนาคตด้วย ซึ่งก็ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและเหมาะสม มาตรการที่จะออกมาต้องมีความยืดหยุ่นเพียงพอ     ที่มา Reuters         ————————————————————————————————————————- ที่มา :                   แบไต๋           …

“น้องสาวผู้นำเกาหลีเหนือ” ขู่สหรัฐ เปลี่ยนแปซิฟิกเป็น “สนามยิงขีปนาวุธ”

Loading

  “คิม โยจอง” น้องสาวผู้นำเกาหลีเหนือประกาศกร้าว เตือนหากสหรัฐ ยิงขีปนาวุธโสมแดงถือว่าประกาศสงคราม และเกาหลีเหนือก็พร้อมเปลี่ยนมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นสนามยิงขีปนาวุธ   สำนักข่าว KCNA ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลเกาหลีเหนือรายงานในวันนี้ว่า นางคิม โยจอง น้องสาวของนายคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือเตือนว่า หากพบความพยายามใด ๆ ก็ตามที่ยิงขีปนาวุธสำหรับใช้ทดสอบของเกาหลีเหนือ จะถูกมองว่าเป็นการประกาศสงครามกับเกาหลีเหนือทันที พร้อมกล่าวโทษการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐ เกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่ก่อให้เกิดความตึงเครียดเพิ่มมากขึ้น   นางคิม โยจอง ออกแถลงการณ์ว่า หากสหรัฐดำเนินการทางทหารเพื่อต่อต้านการทดสอบขีปนาวุธทางยุทธศาสตร์ของเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือจะถือว่าเป็นการประกาศสงคราม นางคิมยังกล่าวเป็นนัยอีกว่าเกาหลีเหนือสามารถยิงขีปนาวุธลงมหาสมุทรแปซิฟิกเพิ่มมากขึ้นอีก พร้อมระบุว่า “มหาสมุทรแปซิฟิกไม่ได้ตกอยู่ใต้อำนาจของสหรัฐหรือญี่ปุ่น”   สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ที่ผ่านมานั้นสหรัฐและชาติพันธมิตรไม่เคยยิงขีปนาวุธนำวิถีของเกาหลีเหนือ แต่หลายฝ่ายกังวลว่าเหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้น หลังจากที่เกาหลีเหนือส่งสัญญาณว่าจะยิงขีปนาวุธข้ามเขตแดนญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นอีก   ด้านนักวิเคราะห์ชี้ว่า หากเกาหลีเหนือปฏิบัติตามคำขู่ในการเปลี่ยนมหาสมุทรแปซิฟิกให้กลายเป็น “สนามยิงขีปนาวุธ” ก็จะส่งผลให้เกาหลีเหนือซึ่งเป็นประเทศที่ถูกโดดเดี่ยวและเป็นรัฐที่ติดอาวุธนิวเคลียร์นั้น สามารถสร้างความก้าวหน้าทางเทคนิค นอกเหนือจากการส่งสัญญาณข่มขู่ทางทหาร   ขณะที่ฝ่ายข่าวต่างประเทศของกระทรวงต่างประเทศเกาหลีเหนือได้ออกแถลงการณ์กล่าวหาสหรัฐว่าทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลง หลังจากที่ซ้อมรบร่วมทางอากาศด้วยเครื่องบินทิ้งระเบิด B-52 เมื่อวานนี้ (6 มี.ค.) และวางแผนซ้อมรบภาคสนามร่วมกับเกาหลีใต้   สหรัฐได้ใช้เครื่องบินทิ้งระเบิด B-52…

หลอนจัด! เพนตากอนกล่าวหารอบใหม่ สงสัยจีนใช้เครนสอดแนมสหรัฐฯ เหมือนกับบอลลูน

Loading

    กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) มองเครนต่างๆ ที่ผลิตโดยจีน ซึ่งปฏิบัติการอยู่ตามท่าเรือทั้งหลายของสหรัฐฯ ในนั้นรวมถึงศูนย์กลางด้านการขนส่งหลายแห่งที่ถูกใช้งานโดยกองทัพ มีความเป็นไปได้ที่จะเป็น “ม้าโทรจัน” ที่จีนอาจใช้รวบรวมข้อมูลข่าวกรองเกี่ยวกับสิ่งของที่ขนเข้าขนออกจากอเมริกา ตามรายงานของหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีท เจอร์นัล ในวันอาทิตย์ (5 มี.ค.)   หลังจากประเด็นบอลลูนสอดแนมจีนจบลงอย่างฉับพลัน มีรายงานว่าพวกเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงแห่งชาติ และจากเพนตากอนได้เบี่ยงเบนความสนใจไปยังอีกหนึ่งเครื่องไม้เครื่องมือที่ว่ากันว่าอาจถูกใช้สำหรับจารกรรมข้อมูล โดยแม้วอลล์สตรีท เจอร์นัล ไม่ได้บ่งชี้้ว่าเคยมีกรณีของการใช้เครนสำหรับสอดแนมจริงๆ หรือไม่ แต่สื่อมวลชนแห่งนี้อ้างความเห็นของ บิลล์ อีวานนินา อดีตเจ้าหน้าที่ต่อต้านข่าวกรองสหรัฐฯ ซึ่งแสดงความกังวลว่ามันอาจเปิดทางสำหรับการเข้าถึงจากระยะไกล เพื่อก่อความปั่นป่วนแก่กระแสสินค้า   “เครนสามารถเป็นอีกหนึ่งหัวเว่ย” อีวานนินากล่าว อ้างถึงหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ บริษัทโทรคมนาคมยักษ์ใหญ่ของจีน ซึ่งผลิตภัณฑ์ของพวกเขาเป็นที่ต้องห้ามในตลาดสหรัฐฯ ในความกังวลเกี่ยวกับการสอดแนมแบบเดียวกัน “มันเป็นการผสมผสานที่สมบูรณ์แบบของธุรกิจที่ถูกกฎหมาย ที่สามารถสวมหน้ากากตบตา ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลความลับได้เช่นกัน”   ความกังวลเกี่ยวกับเครนมีขึ้นตามหลังข้อพิพาทระหว่างสหรัฐฯ กับจีนเมื่อเดือนที่แล้ว เกี่ยวกับบอลลูนที่พบเห็นลอยอยู่ในระดับสูงเหนือท้องฟ้าอเมริกา โดยรัฐบาลของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ทำการยิงร่วงบอลลูนที่พวกเขากล่าวหาว่าเป็นบอลลูนสอดแนม นอกชายฝั่งของรัฐเซาท์แคโรไลนา หลังจากพบเห็นมันลอยข้ามท้องฟ้าของประเทศ ในขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนกำลังใช้บอลลูนลักษณะดังกล่าวทั่วโลกเช่นกัน ในฐานะเป็นเครื่องมือสอดแนม   กระทรวงการต่างประเทศจีน…

รัฐบาลสหรัฐออกแผนยุทธศาสตร์มั่นคงไซเบอร์ เสนอบริษัทซอฟต์แวร์ต้องรับผิดหากมีช่องโหว่

Loading

  รัฐบาลสหรัฐ ออกแผนยุทธศาสตร์ความมั่นคงไซเบอร์แห่งชาติ (National Cybersecurity Strategy) เป็นกรอบกว้าง ๆ กำหนดแนวทางป้องกันการโจมตีไซเบอร์ โดยเฉพาะกับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศ   แผนยุทธศาสตร์นี้พูดถึงการรับมือกับกลุ่มผู้ประสงค์ร้าย (threat actors), การแลกเปลี่ยนข้อมูลกลุ่มแฮ็กเกอร์-กลุ่มผู้สร้างมัลแวร์ระหว่างรัฐบาลชาติต่าง ๆ, การลงทุนด้านงานวิจัยความปลอดภัย ฯลฯ ซึ่งเป็นประเด็นกว้าง ๆ ที่พูดถึงกันในวงการความปลอดภัยไซเบอร์อยู่แล้ว   ของใหม่ที่เป็นประเด็นจับตาคือ แผนฉบับนี้เสนอแนวคิดว่า ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์หรือผู้ให้บริการควรต้อง “มีภาระรับผิด” ต่อการเกิดช่องโหว่ด้วย (ยังไม่ระบุลงไปชัดว่าเป็นความผิดอาญา หรือเสียค่าปรับอย่างเดียว) เพื่อกระตุ้นให้ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ต้องเร่งปรับตัว นำเทคนิคและมาตรการต่าง ๆ มาใช้เพื่อป้องกันการเกิดช่องโหว่ความปลอดภัย   ข้อความในแผนเขียนว่า ผู้ขายซอฟต์แวร์ไม่มีแรงจูงใจด้านการทำซอฟต์แวร์ให้ปลอดภัย แม้มีมาตรฐานที่ปฏิบัติกันในวงการอยู่แล้วแต่ก็ไม่ค่อยสนใจทำตาม เช่น ออกสินค้าที่ตั้งค่าดีฟอลต์แบบง่าย ๆ เลยทำให้โดนเจาะได้ง่ายตามไปด้วย ระบบทั้งหมดจึงมีความปลอดภัยรวมน้อยลง เมื่อการทำแบบนี้ไม่มีภาระรับผิดใด ๆ ก็ทำให้ผู้ขายซอฟต์แวร์ทำแบบนี้กันต่อไปอีกเหมือนเดิม   หลังจากแผนยุทธศาสตร์นี้ออกมาแล้ว รัฐบาลสหรัฐกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เพื่อลงรายละเอียดและพัฒนาเป็นกฎหมายที่จำเป็นต่อไป     ที่มา – Whitehouse,…