มีใครกล้าหือ! รัสเซียส่งเครื่องบินรบ4ลำอารักขา ‘ปูติน’ เมินหมายจับศาลโลกเยือน ตอ.กลาง

Loading

ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ได้รับการอารักขาจากเครื่องบินขับไล่รัสเซีย 4 ลำ ในการเดินทางเยือนตะวันออกกลาง ในวันพุธ (6 ธ.ค.) สำหรับการเยือนต่างแดนที่ไม่พบเห็นบ่อยนัก ซึ่งเขาได้ใช้โอกาสนี้พบปะหารือกับบรรดาผู้นำชาติต่างๆ ในนั้นรวมถึงในประเด็นกำลังผลิตน้ำมันและโอเปกพลัสกับมกุฏราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบีย

‘เชียงใหม่’ ครองแชมป์ปลอดภัยสูงสุดในอาเซียน-กรุงเทพฯ ได้อันดับ 7

Loading

    เว็บฐานข้อมูลนานาชาติจัดอันดับ เชียงใหม่ปลอดภัยสุดอันดับหนึ่งในอาเซียน อันดับ 32 ของโลก ขณะกรุงเทพติดอันดับเจ็ดของอาเซียน อันดับ 170 ของโลก ส่วนพัทยาได้อันดับเก้าอาเซียน อันดับ 210 ของโลก ขณะกรุงอาบูดาบีครองแชมป์ปลอดภัยมากที่สุดในโลก   สำนักข่าวอิศรารายงานว่าเว็บไซต์ numbeo.com ซึ่งเป็นเว็บด้านการวิจัยซึ่งเป็นดาต้าเบสสำหรับสถานที่ให้ผู้ใช้และผู้ติดตามสร้างเนื้อหาที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้มีการจัดทำดัชนีเมืองที่มีความปลอดภัยมากที่สุดในโลก จำนวน 416 เมืองทั่วโลก   โดยเมืองในประเทศไทยที่อยู่ในดัชนีดังกล่าวนั้นประกอบไปด้วยเมืองเชียงใหม่ อยู่ในอันดับที่ 32 ได้ 75.5 คะแนน คิดเป็นอันดับหนึ่งเมืองที่มีความปลอดภัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือว่าอาเซียน กรุงเทพมหานครอยู่ในอันดับที่ 170 ได้ 59.5 คะแนน และเมืองพัทยาอยู่ในอันดับที่ 210 ได้ 54.5 คะแนน   สำหรับอันดับของเมืองที่มีความปลอดภัยที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือว่าอาเซียนใน 20 อันดับแรกนั้นพบว่ามีอันดับดังต่อไปนี้ 1.เชียงใหม่, ประเทศไทย 2. ดาเวา, ฟิลิปปินส์ 72.4 คะแนน 3. สิงคโปร์,…

พนักงานของบริษัท VPN ไม่สบายใจที่ผู้บริหารเคยเป็นสายลับขายข้อมูลให้ต่างชาติ

Loading

  พนักงานของ ExpressVPN ผู้ให้บริการ VPN (virtual private network) แสดงความไม่สบายใจกรณีที่ แดเนียล แกริค (Daniel Gericke) หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงของบริษัทเคยเป็นสายลับไซเบอร์ที่ล้วงข้อมูลชาวอเมริกันไปให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งทางกระทรวงยุติธรรมได้ออกมาเปิดเผยรายละเอียดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น คำแถลงของ ExpressVPN ที่ออกมายอมรับภายหลังว่ารู้ประวัติเบื้องลึกของแกริคมาก่อนหน้านี้ ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับพนักงานมากขึ้นไปอีก ทั้งนี้ บริษัทชี้แจงว่าไม่รู้รายละเอียดการสืบสวนที่เกิดขึ้นหรือการทำงานให้กับรัฐบาลยูเออี นอกจากนี้ ในห้วงระหว่างการสืบสวนของเอฟบีไอ ทาง ExpressVPN ยังได้เลื่อนตำแหน่งให้กับอดีตสายลับผู้นี้ แกริคได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี (Chief Technology Officer – CTO) ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เขายังคงดำรงอยู่ในปัจจุบัน ภายหลังที่ศาลได้มีการเปิดเผยการกระทำผิดของแกริคและอดีตสายลับอีกสองคน เขาได้ส่งอีเมลถึงพนักงานว่า “ผมเข้าใจดีว่าข่าวแบบนี้คงจะทำให้ตกใจหรือแม้แต่สร้างความไม่สบายใจ” และให้คำมั่นว่าที่ผ่านมาเขาได้ใช้ทักษะความสามารถที่มีในการปกป้องความเป็นส่วนตัวและความมั่นคงปลอดภัยของลูกค้า ในช่วงถามตอบที่คณะผู้บริหารเปิดให้พนักงานแสดงความคิดเห็นเกี่่ยวกับประเด็นต่าง ๆ ในบริษัทเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา พนักงานต่างแสดงไม่พอใจต่อบริษัทเกี่ยวกับกรณีที่เกิดขึ้น พนักงานคนหนึ่งถามว่า “ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็ได้ทำลายความเชื่อมั่นของลูกค้าที่มีต่อบริษัท เราจะกอบกู้ชื่อเสียงของเราได้อย่างไร?” โดยมีพนักงานกว่า 40 คนที่ออกความเห็นสนับสนุนคำถามนี้ รวมถึงคำถามอื่นที่แสดงความไม่พอใจต่อการดำรงตำแหน่งของแกริค   —————————————————————————————————————————– ที่มา :…

อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองอเมริกันยอมรับเป็นสายลับไซเบอร์ให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

Loading

  มาร์ค ไบเออร์ (Marc Baier) ไรอัน อดัมส์ (Ryan Adam) และแดเนียล แกริค (Daniel Gericke) อดีตเจ้าหน้าที่ด้านข่าวกรองชาวอเมริกันที่เคยทำงานเป็นสายลับไซเบอร์ให้สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) รับสารภาพต่อศาลสูงในกรุงวอชิงตัน ดีซี ว่าได้ละเมิดกฎหมายของสหรัฐอเมริกาว่าด้วยการห้ามขายเทคโนโลยีทางการทหารที่มีความละเอียดอ่อน ทั้งยังระบุว่าได้เคยแฮกระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในสหรัฐฯ และส่งออกเครื่องมือที่ใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลสหรัฐฯ ให้แก่ยูเออี หนึ่งในนั้นคืออาวุธไซเบอร์ที่มีความซับซ้อนที่มีชื่อว่า Karma ที่สามารถแฮกไอโฟนได้โดยง่าย ทั้งสามคนได้ทำข้อตกลงกับรัฐบาลสหรัฐฯ โดยตกลงจ่ายเงินชดใช้รวมกัน 1.69 ล้านเหรียญ (ประมาณ 55.5 ล้านบาท) และจะไม่ทำงานที่สามารถเข้าถึงข้อมูลความลับในด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ อีกต่อไป เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี อดีตเจ้าหน้าที่ทั้งสามคนเป็นสมาชิกของกลุ่มปฏิบัติการลับที่มีชื่อว่า Project Raven ซึ่งทำงานให้กับราชวงศ์ของยูเออีในการสืบข่าวศัตรูทางการเมือง สำนักข่าวรอยเตอร์สืบพบ Project Raven ในปี 2562 โดยกลุ่มฯ ดังกล่าวมีประวัติในการสอดแนมนักกิจกรรมด้านสิทธิมนุษยชนและนักสื่อสารมวลชน อย่างนักเรียกร้องสิทธิมนุษยชนชาวเยเมนที่ได้รับรางวัลโนเบล และนักข่าว BBC ในจำนวนนี้ หลายคนถูกซ้อมทรมานโดยรัฐบาลยูเออีในภายหลัง   ————————————————————————————————————————————————– ที่มา : Beartai …

สนามบินดูไบเริ่มใช้วิธี ‘ตรวจม่านตา’ แทนหนังสือเดินทาง

Loading

    ที่สนามบินดูไบ ผู้โดยสารสามารถใช้ม่านตาเพื่อยืนยันตัวตนโดยไม่จำเป็นต้องแสดงเอกสารใดๆ ระบบดังกล่าวเปิดตัวขึ้นในขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) ยังคงต่อสู้กับการแพร่ระบาดของโควิด -19 ซึ่งรัฐบาลยกให้โครงการนี้เป็นเครื่องมือในการช่วยควบคุมการแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เพราะวิธีดังกล่าวช่วยให้ผู้โดยสารไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น ระบบสแกนม่านตานี้ใช้ biometric หรือชีวมิติ ซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นมาเพื่อรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพที่มีลักษณะเฉพาะของแต่ละบุคคลเพื่อระบุตัวตน ทั้งนี้ระบบจดจำใบหน้าก็เป็นการใช้ไบโอเมตริกรูปแบบหนึ่ง ระบบดังกล่าวใช้วิธีการคล้ายกับที่ใช้ในเทคโนโลยีการพิมพ์ลายนิ้วมือ สนามบินดูไบใช้อุปกรณ์ในการสแกนม่านตาซึ่งเป็นส่วนที่มีสีของดวงตา โดยการให้ผู้โดยสารมองตรงเข้าไปในกล้องเพื่อให้สามารถรวบรวมข้อมูลทางชีวภาพได้ การใช้ระบบสแกนม่านตานั้นแพร่หลายมากขึ้นทั่วโลกในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับความแม่นยำของเทคโนโลยีจดจำใบหน้า ไบโอเมตริกของม่านตาถือว่าเป็นระบบที่เชื่อถือได้มากกว่าระบบที่สแกนใบหน้าของผู้คนจากระยะไกล ในสนามบินดูไบซึ่งเป็นสนามบินที่พลุกพล่านที่สุดในโลกสำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ผู้โดยสารจะเดินเข้าเครื่องสแกนม่านตาหลังจากเช็คอินแล้ว หลังจากที่มองเข้าไปในกล้องพวกเขาก็จะสามารถผ่านจุดตรวจหนังสือเดินทางได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที โดยที่ไม่ต้องพกบัตรเดินทางกระดาษหรือใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ใดๆ เจ้าหน้าที่ในดูไบกล่าวว่าการสแกนดังกล่าวนี้จะเชื่อมต่อข้อมูลม่านตาของบุคคลกับฐานข้อมูลการจดจำใบหน้าของ UAE ทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องใช้เอกสารในการเดินทาง ระบบนี้เป็นความร่วมมือระหว่างบริษัทสายการบิน Emirates และสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของดูไบ เจ้าหน้าที่กล่าวอีกว่าระบบจะช่วยให้ผู้โดยสารผ่านกระบวนการอัตโนมัติตั้งแต่การเช็คอินไปจนถึงการขึ้นเครื่องบินได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย พลตรี Obaid Mehayer Bin Suroor รองอธิบดีกองอำนวยการทั่วไปด้านถิ่นที่อยู่และกิจการต่างประเทศของดูไบบอกกับ The Associated Press ว่าการสแกนม่านตานี้เป็นระบบอัจฉริยะที่ใช้เวลาเพียงห้าถึงหกวินาที อย่างไรก็ตาม ผู้คนยังหวั่นเกรงว่าเทคโนโลยีนี้จะทำให้สูญเสียความเป็นส่วนตัวเช่นเดียวกันกับระบบจดจำใบหน้า ทั้งนี้ UAE ได้เผชิญกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีดังกล่าวในการสอดส่องนักข่าวและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน ในคำชี้แจงสิทธิส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับระบบไบโอเมตริก Emirates ระบุไว้ว่าทางสายการบินเชื่อมโยงใบหน้าของผู้โดยสารกับข้อมูลระบุตัวบุคคลอื่นๆ รวมถึงหนังสือเดินทางและข้อมูลเที่ยวบิน นอกจากนี้ยังเสริมว่าข้อมูลดังกล่าวสามารถเก็บไว้ได้ตราบเท่าที่มีความจำเป็นตามสมควรสำหรับวัตถุประสงค์ในการรวบรวมข้อมูล นอกจากนี้ในเว็บไซต์ของ Emirates ยังระบุด้วยว่าข้อมูลไบโอเมตริกที่รวบรวมทั้งหมดจะถูกจัดเก็บไว้ในสารบบ…