“จีน” ภายใต้การนำของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กำลังเปลี่ยนแปลงกติกาการแข่งขันโลกผ่านการใช้ข้อมูลเป็นอาวุธเชิงยุทธศาสตร์ นโยบาย “ข้อมูลเป็นทรัพยากรพื้นฐาน” ที่รัฐบาลจีนผลักดันไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศเท่านั้น แต่ยังสร้างความได้เปรียบเชิงแข่งขันที่อาจทำให้ประเทศประชาธิปไตยเสียสมดุลอำนาจในเวทีโลกอีกด้วย
จุดเริ่มต้นอยู่ที่ว่า… จีนมีประชากรผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 1.1 พันล้านคน ซึ่งสร้างปริมาณข้อมูลมหาศาลที่ไม่มีประเทศใดเทียบได้ แหล่งข้อมูลนี้ไม่เพียงมาจากการใช้งานออนไลน์ทั่วไป แต่ยังรวมถึงข้อมูลจากเครือข่ายกล้องจดจำใบหน้าขนาดใหญ่ รถยนต์ไร้คนขับ และยานบินไร้คนขับที่แล่นผ่านน่านฟ้า
ตั้งแต่ปี 2564 รัฐบาลจีนได้ออกกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลแบบ GDPR ของยุโรป (Europe’s General Data Protection Regulation) แต่ปัจจุบันเริ่มเบี่ยงเบนออกไปจากมาตรฐานตะวันตกอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ที่จะสร้างระบบการจัดการข้อมูลที่เป็นไปตาม “บริบทการปกครองแบบจีน” มากกว่าการปฏิบัติตามมาตรฐานสากล
“บัตรประชาชนดิจิทัล”: เครื่องมือควบคุมข้อมูลในยุคใหม่
การเปิดตัว “บัตรประชาชนดิจิทัล” ที่จะมาถึงในวันที่ 15 ก.ค.2568 ถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างระบบควบคุมข้อมูลแบบรวมศูนย์ ระบบใหม่นี้จะให้รัฐบาลกลางสามารถควบคุมบัญชีการใช้งานเว็บไซต์ และแอปพลิเคชันของประชาชนทุกคนได้
บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เคยดูแลระบบนี้จะเห็นเพียง “ตัวเลข” และ “ตัวอักษร” แต่ปิดบังตัวตน โดยรัฐอาจใช้บัญชีเหล่านี้เป็น “ป้อมคอยจับตาการใช้ชีวิตของประชาชน” ในอนาคต การเปลี่ยนแปลงนี้แสดงให้เห็นถึงการเพิ่มบทบาทของรัฐในการจัดการข้อมูลดิจิทัล และลดอิทธิพลของบริษัทเอกชนในการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล
เป้าหมายการรวมศูนย์ข้อมูลแบบครบวงจร
บทวิเคราะห์ของดิอีโอโนมิสต์ ระบุว่า เป้าหมายสูงสุดของจีนคือ การสร้าง “มหาสมุทรข้อมูลแห่งชาติ” ที่รวมข้อมูลผู้บริโภค อุตสาหกรรม และกิจกรรมของรัฐเข้าด้วยกันอย่างครบวงจร รัฐสภาจีนเมื่อวันที่ 3 มิ.ย.2568 ได้ออกกฎใหม่บังคับให้รัฐบาลทุกระดับแบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน พร้อมกับโครงการประเมินมูลค่าข้อมูลของบริษัทรัฐวิสาหกิจเพื่อบันทึกเป็นสินทรัพย์ในงบดุลหรือซื้อขายในตลาดแลกเปลี่ยนของรัฐ
การดำเนินการนี้สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่ว่าข้อมูลเป็นทรัพยากรพื้นฐานที่มีมูลค่าเท่าเทียมกับแรงงาน ทุน และที่ดิน ซึ่งเป็นการปฏิวัติแนวคิดเศรษฐกิจแบบดั้งเดิม
ระบบข้อมูลแบบรวมศูนย์นี้จะสร้างประสิทธิภาพจากขนาด (Economies of Scale) ในการฝึกโมเดลปัญญาประดิษฐ์และลดอุปสรรคสำหรับบริษัทใหม่ขนาดเล็ก การเข้าถึงข้อมูลที่มีปริมาณมากจะช่วยให้จีนสามารถพัฒนาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ได้เร็วกว่า และมีประสิทธิภาพมากกว่าประเทศอื่น
รัฐบาลจีนมีประวัติการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลไม่ดี เช่น กรณีที่ตำรวจเซี่ยงไฮ้เคยสูญเสียข้อมูล 1 พันล้านรายการให้แฮกเกอร์ นอกจากนี้ หากบริษัทเอกชนสูญเสียการควบคุมข้อมูลที่สร้างขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อกำไรและลดแรงจูงใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรม
ความท้าทายต่อประเทศประชาธิปไตย
ขณะที่หลายประเทศกำลังต่อสู้กับการจัดการและควบคุมข้อมูล สหรัฐอเมริกาภายใต้รัฐบาลทรัมป์อาจพิจารณาจ้าง Palantir บริษัทเทคโนโลยีเอกชนด้านข้อมูลยักษ์ใหญ่ มารวมฐานข้อมูลรัฐบาล สหภาพยุโรปอาจต้องปรับปรุงกฎ GDPR และอินเดียมีระบบ Aadhaar ที่เน้นความเป็นส่วนตัวแต่อาจเสียโอกาสทางเศรษฐกิจ
สำหรับประเทศประชาธิปไตย การดำเนินงานจึงยากกว่า เพราะต้องสร้างระบบตรวจสอบถ่วงดุลเพื่อปกป้องสิทธิทรัพย์สิน ความเป็นส่วนตัว และเสรีภาพพลเมือง ข้อจำกัดนี้ทำให้ประเทศประชาธิปไตยเสียเปรียบในการสร้างและใช้ประโยชน์จากข้อมูลเมื่อเปรียบเทียบกับระบบที่สามารถรวมศูนย์ข้อมูลได้โดยไม่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดดังกล่าว
ผลกระทบระยะยาวต่อระบบประชาธิปไตยโลก
หากจีนประสบความสำเร็จในแผนนี้ ประเทศประชาธิปไตยจะเผชิญปัญหาใหญ่สองประการ ประการแรก คือ ความไม่สามารถแข่งขันทางเศรษฐกิจได้ เนื่องจากจีนครอบครองข้อมูลในปริมาณมากกว่า ประการที่สอง คือ แรงกดดันให้เลียนแบบจีนโดยแลกเสรีภาพกับการเจริญเติบโต
ความท้าทายนี้ไม่เพียงแต่เป็นเรื่องของเทคโนโลยีเท่านั้น แต่ยังเป็นการทดสอบค่านิยมพื้นฐานของระบบประชาธิปไตย ประเทศประชาธิปไตยจะต้องหาทางสร้างสมดุลระหว่างการใช้ประโยชน์จากข้อมูลเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและการรักษาหลักการประชาธิปไตย
อ้างอิง: The Economist
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 4 กรกฎาคม 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/world/1187960