“‘เจ้านายของเอเจนต์’ จะกลายเป็นบทบาทใหม่ของทุกคน ภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้พนักงานจะสร้าง สั่งงาน และดูแลเอเจนต์ในทีมของตน” นี่คือแนวโน้มการทำงานร่วมกับ AI ที่ถูกกล่าวถึงใน “Microsoft Work Trend Index 2025” รายงานการวิจัยของไมโครซอฟท์ที่มุ่งศึกษาบริบทและคาดการณ์แนวโน้มการทำงานยุคใหม่จากการติดตามองค์กรธุรกิจทั่วโลก ซึ่งจัดทำมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2021
ธีมในปีนี้ “The year the Frontier Firm is born” ให้ความสำคัญกับการเกิดขึ้นของ “Frontier Firms” ที่ตอกย้ำถึงทิศทางการปรับเปลี่ยนองค์กรในยุค AI สู่มุมมองและโครงสร้างรูปแบบใหม่ที่เพิ่มความยืดหยุ่นในหลายมิติ โดยไมโครซอฟท์ชี้ว่า องค์กรแนวหน้าแห่งอนาคตกำลังเกิดขึ้น โดยการขับเคลื่อนด้วย AI เป็นแกนหลักเหมือนการมี “Intelligence on Tap” หรือระบบอัจฉริยะที่เรียกใช้ได้ตลอดเวลา บริษัทเหล่านี้ผสมผสานการทำงานของมนุษย์และ AI เพื่อขยายธุรกิจอย่างรวดเร็ว ยืดหยุ่นสูง และสร้างคุณค่าได้มากกว่ารูปแบบเดิม

Agent Boss บทบาทใหม่
รายงานฉบับนี้ได้กล่าวถึงบทบาทใหม่ที่พนักงานทุกคนจะต้องกลายเป็น “Agent Boss” หรือคนที่สร้าง สั่งงาน และดูแลเอเจนต์ นอกจาก AI จะเป็นเหมือน “ผู้ช่วยส่วนตัว” แล้วจะมีสถานะเป็น “เพื่อนร่วมงาน” และ “ลูกน้อง” ในทีม ซึ่งมีตำแหน่งชัดเจน ต้องการระบบวัดผล การฝึกสอน การให้ฟีดแบ็ก และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเหมือนพนักงานจริง
จากผลสำรวจพนักงาน 31,000 คนใน 31 องค์กรทั่วโลก ระบุว่า 82% ของผู้นำองค์กรตระหนักถึงการออกแบบกลยุทธ์ด้าน AI และการบูรณาการเข้าระบบปฏิบัติการของตัวเอง และภายใน 12-18 เดือนข้างหน้าการนำไปใช้จะเร่งตัวขึ้น
โดยปัจจุบัน 24% ของผู้นำองค์กรใช้ AI อย่างเต็มรูปแบบทั่วทั้งบริษัทแล้ว ในขณะที่มีเพียง 12% เท่านั้นที่ยังคงอยู่ในโหมดนำร่อง ทั้งนี้รายงานได้แบ่งการทำงานร่วมกันระหว่างคนกับเอเจนต์ (ผู้ช่วย AI) ในปัจจุบันทั้งสิ้น 3 ระยะ
- Human with assistant – พนักงานทุกคนมีผู้ช่วย AI ที่คอยช่วยทำงานซ้ำซาก
- Human-agent teams – ผู้ช่วย AI จะเข้าร่วมทีมในฐานะ “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” (Digital colleagues) โดยรับงานตามคำสั่งเฉพาะคน ช่วยเสริมทักษะใหม่ให้กับพนักงาน
- Human-led, Agent-operated – พนักงานจะเป็นผู้กำหนดคำสั่ง คอยควบคุมระบบ โดยผู้ช่วย AI จะทำงานตามเวิร์กโฟลว์นั้นโดยอัตโนมัติ

ด้านแนวโน้มเฉพาะที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่อยู่ในชั้นแนวหน้าในการนำร่องใช้ AI โดยพบว่า 68% ขององค์กรไทยเริ่มใช้ AI ในกระบวนการทำงานแบบระบบอัตโนมัติแล้ว (สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 46%)
93% ของผู้นำไทยวางแผนจ้างงานใน “ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับ AI” ภายใน 12 เดือนข้างหน้า (ค่าเฉลี่ยโลกคือ 78%) และ 90% ของผู้นำไทยมั่นใจในศักยภาพของ “แรงงานดิจิทัล” (Digital Labor) หรือแนวโน้มที่พนักงานในอนาคตที่อาจเป็นทั้ง “มนุษย์และ AI” นอกจากนี้รายงานได้ระบุตัวเลขที่น่าสนใจว่า 83% ของผู้บริหารมองว่าพนักงานรุ่นใหม่จะมีโอกาสได้ทำงานเชิงกลยุทธ์และการวางแผนเร็วขึ้นหากมี AI เข้ามาแบ่งเบาภาระอีกด้วย
ธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย กล่าวว่า ผู้บริหารส่วนใหญ่ต้องการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คนทำงานมีแรงและเวลาที่จำกัด ระบบ AI หรือ Agentic AI ที่สามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติจึงเป็นทรัพยากรที่มีค่ามหาศาลที่ช่วยให้องค์กรนำไปปรับใช้ในรูปแบบที่เหมาะสม
“ดังนั้นการสร้างทีมแบบไฮบริดที่มีพนักงานเป็นผู้บริหาร AI จึงเป็นคำตอบที่องค์กรจำนวนมากเลือก นับตั้งแต่ระยะสั้น ที่องค์กรในไทยราว 68% ได้นำ AI เข้ามาเปลี่ยนระบบงานบางส่วนให้กลายเป็นระบบอัตโนมัติแล้ว ไปจนถึงระยะยาว ที่เราอาจได้เห็นโครงสร้างองค์กรและเส้นทางในอาชีพการงานเปลี่ยนแปลงไป”
อย่างไรก็ตามพบความเห็นที่แตกต่างเรื่องประสิทธิภาพ โดยพบว่า 75% ของผู้นำองค์กรในประเทศไทยต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่พนักงานไทย 88% รู้สึกว่าตนเองทำงานเต็มกำลังแล้ว ช่องว่างนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงเรื่อง “ภาวะหมดไฟ” หรือ “ความเข้าใจที่ไม่ตรงกัน” ระหว่างฝ่ายบริหารและพนักงาน ปัญหาเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการหาทางออกเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ รวมถึงความจำเป็นในการนำเครื่องมืออย่าง AI มาช่วยลดเวลาในการทำงานอย่างชาญฉลาด

3 องค์กรไทยระดับ “Frontier Firm”
ในโอกาสนี้ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย ได้เชิญ 3 องค์กรระดับแถวหน้าของไทย ได้แก่ กลุ่มเอสซีบีเอกซ์ เอสซีจี เคมิคอลส์ และ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา มาแลกเปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ในการนำ AI เข้ามาเป็นหัวใจสำคัญของทีมงาน ระบบงาน และพันธกิจของแต่ละองค์กร
ลลินทิพย์ เยี่ยมพลพัฒน์ Head of Financial Planning and Data Intelligence บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ทาง SCBX ได้สานต่อเป้าหมายขององค์กรในการก้าวสู่ความเป็น AI-first organization ด้วยการสนับสนุนให้พนักงานในทุกแผนก ทุกสายงาน ได้มีโอกาสนำ AI มาประยุกต์ใช้ในรูปแบบที่ตอบโจทย์ของตนเอง ยกระดับประสิทธิภาพการทำงาน เปิดประตูสู่ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ไปพร้อมกัน และแสดงให้เห็นว่าพนักงานทุกคนและทุกฝ่ายสามารถมีส่วนพัฒนาการใช้ AI ในองค์กรโดยไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอที ตัวอย่างเช่น ระบบวิเคราะห์และปรับปรุงวิธีการสื่อสารกับลูกค้าของพนักงานสาขาในกลุ่มธุรกิจสินเชื่อทะเบียนรถ เพื่อยกระดับมาตรฐานการบริการและความถูกต้องของข้อมูล
ด้าน สัญญา จินดาประเสริฐ Enterprise Digital Director บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCGC กล่าวเพิ่มเติมว่า SCGC เลือกใช้เทคโนโลยี Azure OpenAI Service, Power Platform และ AI Hub เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา AI ในองค์กร โดยเฉพาะกับการประมวลผลข้อมูลด้าน Market Intelligence และได้ต่อยอดนำ Microsoft Azure OpenAI Service มาพัฒนาโครงการ “AILY” เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการใช้งาน AI ในองค์กรอย่างทั่วถึง ช่วยลดภาระงานและเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน
ขณะที่ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้พัฒนาโปรเจกต์ AI ภายใต้ชื่อ “TH2OECD” สานต่อภารกิจของประเทศไทยในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ควบคู่ไปกับการยกระดับระบบบริหารจัดการเอกสารทางกฎหมายต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่สามารถสืบค้น อ้างอิง และใช้งานต่อได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำยิ่งขึ้น
โดย ดร.ณรัณ โพธิ์พัฒนชัย ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ผลกระทบและประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย กองพัฒนากฎหมาย สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เผยว่า AI มีส่วนช่วยให้เราก้าวข้ามความท้าทายในด้านข้อมูลในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภาษากฎหมายที่ซับซ้อน การเปรียบเทียบและตีความกฎหมายระหว่างภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้อยู่ในมาตรฐานและความเข้าใจที่ถูกต้องและตรงกัน
รวมถึงการเปิดโอกาสให้เราวิเคราะห์ความสอดคล้องระหว่างกฎหมาย นโยบาย และแนวปฏิบัติของประเทศไทยให้กับตราสารทางกฎหมาย คำแนะนำ และมาตรฐานที่ OECD กำหนดไว้ และในขณะเดียวกัน AI ยังช่วยให้นักกฎหมายของเราทำงานได้เร็วขึ้นในการค้นหาข้อมูลกฎหมายจากฐานข้อมูล การสรุปและกำหนดแนวทางการทำงาน รวมทั้งการพัฒนานโยบายและหลักกฎหมายให้เข้ากับบริบทปัจจุบันของสังคม
ทั้งนี้ทีมวิจัยของไมโครซอฟท์ได้เสนอ แนวทางสำหรับองค์กรที่ต้องการปรับทิศทางเพื่อมุ่งสู่สถานะ Frontier Firm ไว้ดังนี้
- ใช้กฎ 80/20 แบ่งงานให้ AI จากกฎที่ว่า 80% ของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น มาจากตัวแปรหรือเนื้องานเพียง 20% องค์กรในกลุ่ม Frontier Firm จึงอาจยกเนื้องานอีก 80% ที่สร้างผลลัพธ์ได้เพียง 20% นี้ไปให้ AI และระบบอัตโนมัติต่างๆ รับมือแทน
- การปรับมุมมองสู่ผังเนื้องาน เมื่อ AI สามารถทำงานได้โดยไม่จำกัดความรู้ความสามารถอยู่ในแผนกหรือด้านใดด้านหนึ่ง เส้นทางการติดต่อประสานงานต่างๆ จึงอาจเปลี่ยนไปในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดรอยต่อระหว่างแผนกลง เสริมความคล่องตัวให้องค์กรอีกระดับ
- บริหาร AI ให้เหมือนบริหารพนักงาน AI ที่สามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ สามารถเรียนรู้ ยกระดับความสามารถ เสนอความคิดเห็น และเข้ารับการประเมินผลงานได้เช่นเดียวกับพนักงานที่เป็นมนุษย์ โดยอาจเริ่มจากการปรับคำสั่งพื้นฐาน เพิ่มชุดข้อมูลที่ AI สามารถเข้าถึงได้ หรือแม้แต่การแลกเปลี่ยนความเห็นกับ AI โดยตรง ซึ่งจะเป็นรูปแบบการทำงานในอนาคตที่มนุษย์และ AI Agent ทำงานร่วมกันเป็นทีม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ที่มา : สำนักข่าวไทยรัฐออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 26 มิถุนายน 2568
Link :https://www.thairath.co.th/money/tech_innovation/tech_companies/2866906