
แม้สหรัฐเรียกร้องให้ประเทศอินโด-แปซิฟิกเพิ่มงบกลาโหมและซื้ออาวุธมากขึ้น แต่หลายชาติยังยึดหลักความจำเป็นในประเทศเป็นหลัก ท่ามกลางบริบทที่แตกต่างจากตะวันตกโดยสิ้นเชิง
เมื่อไม่นานมานี้ นายพีต เฮกเซธ รมว.กลาโหมสหรัฐ กล่าวถ้อยแถลงอย่างฮึกเหิม ระหว่างการประชุมด้านความมั่นคงระดับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก “แชงกรี-ลา ไดอะล็อก” ที่สิงคโปร์ โดยเรียกร้องให้นานาประเทศในภูมิภาคแห่งนี้เพิ่มงบประมาณด้านการป้องกันประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากตีความถ้อยแถลงของเฮกเซธอย่างละเอียด จะพบว่า มีการซ่อน “ความหมายระหว่างบรรทัด” ว่าเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลวอชิงตันผู้นี้ กำลังเรียกร้องแกมกดดันให้บรรดาประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกเพิ่มการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากสหรัฐให้มากขึ้น ทว่าคำกล่าวของเฮกเซธยังแทบไม่เข้าหูประเทศแถบนี้สักเท่าใดนัก

นายพีต เฮกเซธ รมว.กลาโหมสหรัฐ กล่าวสุนทรพจน์บนเวที “แชงกรี-ลา ไดอะล็อก” ที่สิงคโปร์ 31 พ.ค. 2568
แม้บรรดาพันธมิตรของสหรัฐในแถบนี้ อย่างญี่ปุ่นและออสเตรเลีย น่าจะยังคงเป็นเป้าหมายหลักที่จะต้องควักกระเป๋าเพิ่มเติม แต่ทั้งสองประเทศกลับแสดงความระมัดระวังมากขึ้น โดยเน้นว่า งบประมาณด้านการป้องกันประเทศควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และต้องสอดคล้องกับศักยภาพของตัวเอง
ขณะเดียวกัน ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับถ้อยแถลงของเฮกเซธ ซึ่งกล่าวบนเวทีแชงกรี-ลา ไดอะล็อกด้วยว่า “ภัยคุกคามจากจีนคอมมิวนิสต์” กำลังใกล้เข้ามา เนื่องจากไม่ว่าอย่างไร กลุ่มประเทศในแถบนี้ยังคงต้องให้ความสำคัญกับ “เรื่องปากท้อง” มากกว่า “การสะสมอาวุธ”
แม้สหรัฐยังคงเป็นประเทศผู้ส่งออกอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยส่งออกมากกว่าผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับรองลงไปอีก 8 ประเทศรวมกัน แต่ชัดเจนแล้วว่า เอเชียกลับไม่ได้แสดงความตื่นตัวกับการเรียกร้องแกมบังคับนี้แต่อย่างใด
ข้อมูลจากสถาบันวิจัยสันติภาพระหว่างประเทศสตอกโฮล์ม (เอสไอพีอาร์ไอ) ระบุว่า สหรัฐครองสัดส่วนการส่งออกอาวุธคิดเป็น 43% ของโลก ระหว่างปี 2563-2567 เพิ่มขึ้นจาก 35% ในช่วงระยะเวลา 5 ปีก่อนหน้านั้น โดยส่วนใหญ่เกิดจากสงครามยูเครน ซึ่งทำให้การส่งออกอาวุธของสหรัฐไปยังยูเครนและยุโรปเพิ่มขึ้น
ขณะที่ประเทศคู่ค้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของสหรัฐในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก คือญี่ปุ่น ซึ่งพึ่งพาอาวุธจากสหรัฐมากถึง 97% ของการนำเข้าทั้งหมด โดยเฉพาะเครื่องบินรบเอฟ-15 และเอฟ-35 รวมถึงขีปนาวุธนำวิถีโทมาฮอว์ก
ด้านออสเตรเลียเป็นลูกค้าใหญ่อันดับสอง โดยนำเข้าอาวุธจากสหรัฐมากถึง 87% ของอาวุธทั้งหมด รวมถึงยังมีข้อตกลงพัฒนาเรือดำน้ำขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์ลำแรกของออสเตรเลียด้วย
ส่วนไต้หวันก็พึ่งพาสหรัฐในเรื่องนี้อย่างมากเช่นกัน โดย 98% ของอาวุธที่นำเข้ามาจากสหรัฐ แม้ในแง่ปริมาณจะยังน้อยกว่าญี่ปุ่นและออสเตรเลียถึงหกเท่า เนื่องจากภัยคุกคามหลักของไต้หวันมีเพียงกรณีเดียว คือการที่จีนไม่ปฏิเสธการใช้ “มาตรการขั้นเด็ดขาดทางทหาร” ในการผนวกรวมไต้หวัน
สำหรับสถานการณ์ของประเทศอื่นในเอเชียยังคงมีหลากหลาย โดยสัดส่วนของอาวุธอเมริกันที่ประเทศในเอเชียนำเข้าแตกต่างกัน ตั้งแต่ 86% ในเกาหลีใต้ และ 32% ในสิงคโปร์ ไปจนถึง 0% ในเมียนมา

เรือรบ “เคดี กลันตัน” ของมาเลเซีย เข้าร่วมการฝึกซ้อมรบนานาชาติ ซึ่งอินโดนีเซียเป็นเจ้าภาพ ที่เกาะบาหลี 16 ก.พ. 2568
แล้วทำไมประเทศในเอเชียจึงไม่ซื้ออาวุธจากสหรัฐเพิ่มขึ้น? เหตุผลหนึ่งคือ “การใช้จ่ายด้านการป้องกันประเทศไม่ใช่ความสำคัญสูงสุด” ข้อมูลจากสถาบันวิจัยยุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ ( ไอไอเอสเอส ) ในกรุงลอนดอนของสหราชอาณาจักร ระบุว่า ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ใช้งบประมาณเฉลี่ยเพียง 1.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี ) ไปกับการขับเคลื่อนนโยบายด้านกลาโหม เมื่อปี 2567 ซึ่งถือว่าแทบไม่เปลี่ยนแปลงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเฉลี่ยของโลกอยู่ที่ 2.5%
ดังนั้น การที่อีกหนึ่งข้อเรียกร้องของเฮกเซธ ซึ่งกล่าวต่อที่ประชุมแชงกรี-ลา ไดอะล็อกในครั้งนี้ คือการให้ประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ร่วมกันตั้งงบประมาณกลาโหมไว้ที่ 5% ของจีดีพี เหมือนประเทศในยุโรป ซึ่งเป็นการดำเนินการตามแนวทางของสหรัฐที่ผลักดันในฐานะหัวเรือใหญ่ขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) “จึงไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในภูมิภาคแห่งนี้อย่างสิ้นเชิง”
ไม่ว่าอย่างไร บรรดาประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่มีแนวทางการใช้งบประมาณแผ่นดินไปในทางคล้ายคลึงกัน นั่นคือ ต้องเน้นไปที่การลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสาธารณสุข และการศึกษา แม้การป้องกันประเทศเป็นเรื่องซึ่งต้องให้ความสำคัญในลำดับต้นเช่นกัน แต่กลุ่มประเทศเหล่านี้ “ยังไม่มีเงินเหลือเฟือมากขนาดนั้น”
อีกเหตุผลหนึ่งคือ “ภูมิภาคแห่งนี้ไม่ได้อยู่ในภาวะสงคราม” ต่างจากยุโรปที่กำลังมีสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน “รบกันอยู่หน้าประตูบ้าน” บรรยากาศด้านความมั่นคงโดยรวมในเอเชียถือว่าค่อนข้างสงบ แม้ข้อพิพาทเรื่องทะเลจีนใต้ยังคงเรื้อรัง และการปะทะกันตามแนวชายแดนระหว่างบางประเทศ อาทิ ไทยกับกัมพูชา และกัมพูชากับเวียดนาม แต่ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่สถานการณ์จะลุกลามขยายวงจนเป็นสงครามครั้งใหญ่ระดับภูมิภาค
ฟิลิปปินส์กำลังเผชิญกับแรงกดดันจากจีนในเรื่องทะเลจีนใต้ จึงให้ความสำคัญและความสนใจกับการยกระดับขีดความสามารถด้านกลาโหมของตัวเองมากขึ้น ผ่านการส่งเสริมความร่วมมือกับหลายประเทศนอกภูมิภาค และแสดงความสนใจซื้อเครื่องบินขับไล่เอฟ-16 จากสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม กองทัพฟิลิปปินส์ไม่ได้ใช้เครื่องบินเจ็ตมาตั้งแต่ยุคทศวรรษที่ 1990 จึงหันมาซื้อเครื่องบินรบแบบเบาจากเกาหลีใต้แทน เนื่องจากมีราคาถูกกว่า และเป็นการปูทางสู่การเปลี่ยนผ่านเพื่อไปใช้ยุทโธปกรณ์ขั้นสูงของสหรัฐต่อไป
แม้เฮกเซธกล่าวอีกว่า “จีนจะใช้มาตรการทางทหารกับไต้หวันในอีกไม่ช้า” แต่แทบทุกประเทศในภูมิภาคแห่งนี้มองว่า “ไม่สมเหตุสมผล” และเป็นเรื่องของการสร้างความตื่นตระหนกมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ทุกประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความร่วมมือและช่องทางการสื่อสารกับจีนอย่างเป็นทางการ “ไม่มีชาติใดอยู่ในฐานะรัฐบริวารของสหรัฐอย่างชัดเจน” แม้ฟิลิปปินส์กับจีนมีข้อพิพาทกันเรื่องทะเลจีนใต้ แต่ความร่วมมือด้านอื่นยังคงดำเนินไปอย่างราบรื่นและเป็นปกติ

ทหารเวียดนามชมฐานยิงจรวดต่อต้านอากาศยาน “เอส-125-2ทีเอ็ม” ในงานแสดงนิทรรศการด้านการป้องกันระหว่างประเทศเวียดนาม 2024 ที่กรุงฮานอย 19 ธ.ค.2567
ทหารเวียดนามชมฐานยิงจรวดต่อต้านอากาศยาน “เอส-125-2ทีเอ็ม” ในงานแสดงนิทรรศการด้านการป้องกันระหว่างประเทศเวียดนาม 2024 ที่กรุงฮานอย 19 ธ.ค.2567
เสียงเรียกร้องของเฮกเซธ ที่อยากให้ประเทศในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกทุ่มซื้ออาวุธจากอเมริกาเพิ่มขึ้น อาจฟังดู “เป็นที่น่าพอใจ” สำหรับกลุ่มการเมืองและล็อบบี้ยิสต์สายเหยี่ยวในสหรัฐ
อย่างไรก็ตาม ในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ซึ่งมีความหลากหลายทางภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจในระดับสูง เสียงเรียกร้องดังกล่าวอาจกลายเป็นเสียงสะท้อนว่า “ไม่เข้าใจสถานการณ์จริง” ว่าการขับเคลื่อนนโยบายความมั่นคงของประเทศในเอเชียมีแรงจูงใจหลักมาจากผลประโยชน์และเสถียรภาพภายในประเทศ มากกว่าการเลือกข้างในสงครามเชิงอุดมการณ์.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : AFP
ที่มา : สำนักข่าวเดลินิวส์ออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 15 มิถุนายน 2568
Link : https://www.dailynews.co.th/articles/4814603/