ช่วยกันคิด ช่วยกันทำ / ทหารประชาธิปไตย
แม้ว่าการสู้รบในยูเครนทำท่าว่าอาจจะยุติลงได้ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งอาจจะเกิดจากที่รัสเซียมีชัยชนะในสงคราม หรืออาจจะเกิดจากการเปลี่ยนตัวประธานาธิบดียูเครนก็ตามแต่ ความขัดแย้งอันเกิดจากความไม่ไว้วางใจของยุโรป – รัสเซียก็มีแต่ทวีความเข้มข้นมากขึ้น
ความตึงเครียด ซึ่งอาจเป็นชนวนสงครามจึงปะทุขึ้นอีกหลายที่ เช่น มอลโดวา โรมาเนีย โปแลนด์ และในทะเลบอลติก ซึ่งเป็นอาณาเขตติดต่อกับหลายประเทศ
การก่อวินาศกรรมท่อก๊าซ Nord Stream เป็นปฐมเหตุที่เพิ่มความตึงเครียดในทะเลบอลติก โดยในระหว่างวันที่ 26-29 กันยายน ค.ศ.2022 เกิดรอยรั่ว 4 จุด ในท่อก๊าซ Nord Stream 1 และ 2 จนทำให้ต้องยุติการส่งก๊าซจากรัสเซียไปเยอรมนี และยุโรปที่เตรียมจะเกิดขึ้นในระยะต่อมา
เหตุเกิดขึ้นใกล้เกาะ Bornholm ของเดนมาร์ก ซึ่งเป็นที่ตั้งของฐานทัพของสหรัฐฯ แต่เป็นน่านน้ำสากลภายในเขตเศรษฐกิจของเดนมาร์ก และสวีเดน การสอบสวนพบว่าเกิดจากการระเบิดอย่างรุนแรงจากการก่อวินาศกรรม แต่ไม่อาจหาผู้รับผิดชอบได้
ต่อมาเยอรมนีได้มีการสอบสวนเพิ่มเติมจากเดนมาร์กและสวีเดน เชื่อว่า Volodymyr Z ยูเครนเป็นผู้ร่วมทีมวางระเบิด และยังมีผู้ต้องสงสัยส่งวัตถุระเบิดโดยใช้เรือใบชื่อ Andromeda
อนึ่งมีทฤษฎีเบื้องหลังเหตุการณ์อยู่ 2 ทฤษฎีด้วยกันคือ
1.ทฤษฎียูเครน จากรายงานของWSJ อ้างว่าชาวยูเครนหัวรุนแรงใช้เรือขนาดเล็กปลอมเป็นเรือท่องเที่ยว โดยปฏิบัติการในคืนที่ทหารยูเครนฉลองความสำเร็จที่หยุดการบุกรุกของรัสเซียในยูเครนได้ในเดือนพฤษภาคม
2.ทฤษฎีสหรัฐฯ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย ลาฟรอฟระบุว่า เป็นการสั่งการโจมตีโดยสหรัฐฯ ซึ่งสหรัฐฯก็ปฏิเสธ
เหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงและเพิ่มความตึงเครียดโดยคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติได้ประชุมเมื่อปี 2024 ตามคำร้องขอของรัสเซีย เพื่อประเมินการสอบสวนที่ผ่านมาเพราะขาดผลสรุปที่ชัดเจน
นอกจากนี้ยังเกิดผลประทบต่อความกังวลเรื่องความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานในทะเลบอลติก เช่น ท่อก๊าซหรือสายเคเบิลใต้น้ำ
จากการที่ไม่มีผลสรุปที่ชัดเจนทำให้เกิดความไม่แน่นอนของการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อันอาจเป็นแรงจูงใจในการใช้เป็นอย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ถึงปัจจัยหลักที่เพิ่มความตึงเครียดในทะเลบอลติก ก็คือการขยายตัวของ NATO ที่มีสวีเดน และฟินแลนด์เข้าร่วมในปี 2024 ทำให้อาณาเขตติดต่อระหว่าง NATO กับรัสเซียเพิ่มขึ้นเท่าตัว และบีบช่องทางและชายฝั่งรัสเซียในการเดินเรือเข้าไปยังเซนต์ปีเตอร์เบิร์ก นับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่กระทบต่อสมดุลของอำนาจในภูมิภาคนั้นทีเดียว
นอกจากนี้เหตุการณ์วินาศกรรมท่อก๊าซ Nord Stream ยังนำไปสู่เหตุการณ์ทำลายสายเคเบิลใต้น้ำ เช่น กรณีการจับกุมเรือ EAGLE S. ที่ต้องสงสัยทำลายเคเบิล ESTLINK – 2 ในเดือนธันวาคม 2024
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการกล่าวหาว่ารัสเซียได้อาศัยความไม่ชัดเจนต่างๆในเหตุการณ์ดำเนินการทางเศรษฐกิจ การโฆษณาชวนเชื่อและการบ่อนทำลายทางไซเบอร์ จากการใช้กองเรือผี หรือ เรือเงา เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องการคว่ำบาตรและส่งเรือรบหรือเครื่องบินรบออกมาคุ้มกันกองเรือ
ด้านรัสเซียก็กล่าวหา NATO ว่าได้สร้างความตึงเครียดเพิ่มขึ้นและอาจนำมาสู่การปะทะกันทางทหารได้ โดยยกเหตุการณ์ที่กองทัพเรือเอสโตเนียโดยการสนับสนุนของ NATO ทางอากาศ พยายามจะควบคุมเรือในทะเลบอลติก นอกน่านน้ำของเอสโตเนีย ที่เรือบรรทุกน้ำมัน JAGUAR กำลังเดินทางไป Primorsk ภายใต้ธงของกาบอง ถูกเรือรบของเอสโตเนียพยายามบังคับให้เดินทางเข้ามาในเขตเอสโตเนีย เพราะอ้างว่าเป็นกองเรือสีเทาที่ผิดกฎหมายการแซงก์ชั่น จนทำให้รัสเซียต้องส่งเครื่องบิน SU-35 ออกไปคุ้มกัน
ทั้งนี้รัสเซียกล่าวหาว่าเป็นการกระทำเยี่ยงโจรสลัด และจำเป็นต้องส่งความคุ้มกันเรือต่างๆ ที่จะเดินทางเข้ามาหรือออกจากเซนต์ปีเตอสเบิร์ก ซึ่งยิ่งเพิ่มความตึงเครียดมากขึ้นและขัดขวางเส้นทางเสรีในการเดินเรือ
ในขณะที่ทางฝ่าย NATO ก็ได้เริ่มปฏิบัติการ BALTIC SENTRY เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญซึ่งในทะเลบอลติกมีสายเคเบิลและท่อก๊าซสำคัญกว่า 40 เส้นใต้ท้องทะเลที่มีความลึกค่อนข้างน้อย
ด้านรัสเซียก็อ้างว่าการตรวจจับกองเรือและการเพิ่มความปลอดภัยมีผลกระทบต่อการเดินเรือของรัสเซีย และทวีความขัดแย้งทางทหารและทางการเมืองยื่งขึ้น และยังกล่าวหาว่า NATO ใช้อคติและข้อมูลที่ขาดความน่าเชื่อถือมาดำเนินมาตรการกับรัสเซีย
ดังนั้นรัสเซียกับเบลารุสจึงมีแผนที่จะมีการซ้อมยุทธศาสตร์ร่วม ZAPAD 2025 ที่จำลองความขัดแย้งขนาดใหญ่กับ NATO
ด้วยเหตุนี้ความตึงเครียดในทะเลบอลติก จึงเป็นการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ที่มีมิติทางทหาร เศรษฐกิจ และเทคโนโลยี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของสมดุลอำนาจในยุโรปหลังสงครามยูเครน
อย่างไรก็ตามทะเลบอลติกมีประเทศที่เกี่ยวข้องอยู่ 8 ประเทศ คือ สวีเดน ฟินแลนด์ นอร์เวย์ เดนมาร์ก เยอรมนี ลิทัวเนีย เอสโตเนีย และ ลัตเวีย กับ รัสเซีย ซึ่งแต่เดิม 3 ประเทศหลังเคยอยู่ในสหภาพโซเวียต และสวีเดิน ฟินแลนด์ กับนอร์เวย์เป็นกลาง
ต่อมาเมื่อฟินแลนด์และสวีเดนเข้ามาเป็นสมาชิกยุโรปความตึงเครียดในภูมิภาคนี้ก็เพิ่มมากขึ้น จากการสนับสนุนของ NATO โดยเฉพาะการหนุนหลังของสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร ที่มีความต้องการที่จะกดดันรัสเซีย โดยมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งในยูเครน
ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสวีเดน และฟินแลนด์ก็คือเกิดความเปลี่ยนแปลงภายในประเทศทั้งสอง นั่นคือมีความตึงเครียดมากขึ้น และสภาพสังคมที่เคยอยู่อย่างปกติสุข อย่างฟินแลนด์ที่เคยมีชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความสุขที่สุดในโลก บัดนี้ความสุขนั้นก็ลดทอนลงไปมาก เพราะต้องอยู่บนความหวาดระแวง และการปลุกระดมในการโฆษณาชวนเชื่อบนพื้นฐานของความเกลียดกลัวแบบรัสโซโฟเบีย ส่วนสวีเดนตอนนี้สภาพสังคมก็ตึงเครียดขึ้นจนเกิดความรุนแรงบ่อยครั้ง
ที่มา : สำนักข่าวสยามรัฐออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 12 มิถุนายน 2568
Link : https://siamrath.co.th/n/628584