ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา เปิดเผยว่า เขาได้ส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ (National Guard) จำนวน 2,000 นายไปยังนครลอสแอนเจลิส เพื่อรักษา “กฎหมายและระเบียบอันเข็มแข็ง” หลังจากเกิดการประท้วงต่อต้านการบุกจับผู้อพยพในเมืองใหญ่ที่สุดอันดับของสหรัฐฯ แห่งนี้
การตัดสินใจเรียกกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของเขาถือเป็นการใช้อำนาจเหนือ เกวิน นิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเรียกการเคลื่อนไหวดังกล่าวว่าเป็นการ “ยั่วยุโดยเจตนา”
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้อพยพอย่างน้อย 118 คนถูกจับกุมในปฏิบัติการต่าง ๆ ทั่วเมือง ซึ่งส่งผลให้เกิดการปะทะกัน ขณะเดียวกันก็มีผู้ประท้วงรวมตัวกันหน้าธุรกิจห้างร้านต่าง ๆ ที่คาดว่าเป็นสถานที่ที่พวกเขาถูกบุกจับ
กรมตำรวจเทศมณฑลลอสแอนเจลิสกล่าวว่า ฝูงชน “เริ่มแสดงความไม่พอใจมากขึ้น มีการขว้างปาสิ่งของและแสดงพฤติกรรมรุนแรง” ทำให้ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตาและระเบิดแสง
ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย พร้อมด้วยนายกเทศมนตรีนครลอสแอนเจลิส และสมาชิกรัฐสภาแคลิฟอร์เนีย ต่างให้ความเห็นว่า พวกเขาเชื่อว่าตำรวจท้องถิ่นสามารถจัดการกับการประท้วงได้ ขณะที่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นระบุว่า มีผู้ถูกจับกุมแล้ว 29 คน
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ สามารถสั่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ ให้ออกปฏิบัติการได้หรือไม่ ?
เพื่อระงับความไม่สงบที่กำลังก่อตัวเพิ่มขึ้น ทรัมป์ได้ออกคำสั่งภายใต้กฎหมายของรัฐบาลกลางซึ่งถูกประกาศใช้ไม่บ่อยนัก โดยอนุญาตให้ประธานาธิบดีนำกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ ซึ่งโดยปกติอยู่ภายใต้การสั่งการโดยรัฐต่าง ๆ มาอยู่ภายใต้การสั่งการของรัฐบาลกลางได้ภายใต้สถานการณ์บางอย่าง
กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิทำหน้าที่เป็นหน่วยงานลูกผสมที่ทำหน้าที่รับใช้ทั้งผลประโยชน์ของรัฐและของรัฐบาลกลาง โดยทั่วไปแล้วกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของรัฐจะออกมาปฏิบัติการตามคำร้องขอของผู้ว่าการรัฐ
แต่ในกรณีนี้ ทรัมป์ได้หลีกเลี่ยงขั้นตอนดังกล่าวโดยอ้างบทบัญญัติเฉพาะในประมวลกฎหมายว่าด้วยกองทัพของสหรัฐฯ ชื่อว่า 10 U.S.C. 12406 ซึ่งระบุถึงสถานการณ์สามกรณีที่ประธานาธิบดีสามารถถ่ายโอนกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเป็นของรัฐบาลกลางได้
หากสหรัฐฯ “ถูกรุกรานหรือตกอยู่ในอันตรายจากการรุกรานจากต่างชาติ”, “มีการกบฏหรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดการกบฏ” ต่อรัฐบาล หรือ “ประธานาธิบดีไม่สามารถใช้กำลังทหารปกติในการบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ ได้”
ทรัมป์กล่าวในบันทึกข้อตกลงที่ร้องขอให้กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิปฏิบัติการว่า การประท้วงในนครลอสแอนเจลิส “ถือเป็นรูปแบบหนึ่งของการกบฏต่อต้านอำนาจของรัฐบาลสหรัฐฯ”
ทั้งนี้ บทบาทของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิในนครลอสแอนเจลิส คือการปกป้องเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง รวมถึงสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (Immigration and Customs Enforcement – ICE) และกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ (Homeland Security) ขณะพวกเขาปฏิบัติหน้าที่
กองกำลังดังกล่าวจะไม่ดำเนินการบุกจับผู้อพยพด้วยตนเอง หรือดำเนินการบังคับใช้กฎหมายทั่วไปต่อพลเรือน
โดยทั่วไป กฎหมายดังกล่าวยังห้ามไม่ให้ใช้กองกำลังของรัฐบาลกลางในประเทศเพื่อบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับพลเรือนด้วย ยกเว้นบางกรณี เช่น พระราชบัญญัติปราบปรามจลาจล (the Insurrection Act)
แม้ว่าในอดีต ทรัมป์จะเคยขู่ว่าจะบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวในระหว่างการประท้วง Black Lives Matter (ซึ่งเป็นการประท้วงใหญ่ หลังการเสียชีวิตของจอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันออกมาชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศ ต่อต้านการเหยียดเชื้อชาติและการใช้ความรุนแรงของตำรวจ) ในปี 2020 แต่เขาก็ไม่ทำเช่นนั้น
ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ นี่เป็นครั้งแรกที่กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิออกมาปฏิบัติการโดยไม่ได้รับการร้องขอจากผู้ว่าการรัฐนับตั้งแต่ปี 1965
ย้อนกลับไปเมื่อปี 1992 กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิถูกส่งไปยังนครลอสแอนเจลิสระหว่างที่เกิดเหตุจลาจลขึ้น หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนหนึ่งพ้นผิดจากข้อหาทำร้ายร่างกาย ร็อดนีย์ คิง ที่เป็นคนผิวสี
จอร์จ เอช ดับเบิลยู บุช ประธานาธิบดีในขณะนั้นได้ส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิไปตามคำขอของพีท วิลสัน ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนียในขณะนั้น
ต่อมาในปี 2020 กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิได้ถูกส่งไปประจำการในบางรัฐหลังการประท้วงกรณีการสังหารจอร์จ ฟลอยด์
เจ้าหน้าที่รัฐตอบสนองต่อคำสั่งของทรัมป์อย่างไรบ้าง
บุคคลสำคัญหลายคนในรัฐบาลทรัมป์ให้การสนับสนุนการตัดสินใจของประธานาธิบดีทรัมป์ในการระดมกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ หนึ่งในนั้นคือ พีท เฮกเซธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งกล่าวบนโซเชียลมีเดียว่า นี่เป็น “สามัญสำนึก” และกล่าวเสริมว่า “จะไม่ยอมให้เกิดความรุนแรงและการทำลายล้างต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลาง รวมทั้งสถานที่ของรัฐบาลกลาง”
เฮกเซธยังกล่าวอีกว่า นาวิกโยธินสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ที่แคมป์เพนเดิลตันที่อยู่ใกล้เคียง จะถูกส่งไปประจำการหากจำเป็น และอยู่ภายใต้ “การเฝ้าระวังระดับสูง”
มาร์กเวย์น มัลลิน วุฒิสมาชิกรัฐโอคลาโฮมา จากพรรครีพับลิกันกล่าวกับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น (CNN) ว่า “ดูเหมือนการประท้วงอยู่ในการควบคุมแล้วหรือไม่ ? คำตอบคือ ไม่เลย”
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ในรัฐแคลิฟอร์เนียหลายคนยืนยันว่า ตำรวจของเมืองมีอุปกรณ์พร้อมรับมือกับความไม่สงบ และกองทัพไม่จำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง
แนนเน็ต บาร์รากัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐแคลิฟอร์เนีย จากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นตัวแทนของเมืองพาราเมาต์ในเขตชานเมืองของนครลอสแอนเลจิส ซึ่งเป็นสถานที่เกิดการประท้วง กล่าวกับซีเอ็นเอ็นว่า “เราไม่ต้องการความช่วยเหลือ”
เธอกล่าวว่า กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ “จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก”
คำพูดของเธอสอดคล้องกับคำพูดของนิวซอม ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเคยพูดต่อต้านการส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิมายังรัฐของเขาเช่นกัน
“รัฐบาลกลางจะเข้าควบคุมกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิของรัฐแคลิฟอร์เนียและส่งทหาร 2,000 นายไปยังนครลอสแอนเจลิส ไม่ใช่เพราะขาดแคลนเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย แต่เพราะพวกเขาต้องการเล่นใหญ่เพื่อเรียกร้องความสนใจ” นิวซอมเขียนข้อความบนบัญชีเอ็กซ์ (X)
คาเรน บาสส์ นายกเทศมนตรีนครลอสแอนเจลิส กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ ABC7 ว่า ไม่จำเป็นต้องมีการส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิมาเลย
เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรดำเนินการอะไรไปบ้างในเอลเอ ?
สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากร (Immigration and Customs Enforcement – ICE) ได้เข้าตรวจค้นตามพื้นที่ที่มีชาวลาตินอาศัยอยู่หนาแน่นในแอลเอเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมาตรการปราบปรามผู้อพยพเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมายของทรัมป์
โฆษกของหน่วยสืบสวนเพื่อความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ (Homeland Security Investigations) ซึ่งเป็นหน่วยงานในเครือของ ICE กล่าวว่า มีผู้ถูกจับกุมทั้งหมด 44 คน
ความพยายามดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายของประธานาธิบดีทรัมป์ในการดำเนิน “ปฏิบัติการเนรเทศครั้งใหญ่ที่สุด” ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ขณะที่นครลอสแอนเจลิสซึ่งมีประชากรมากกว่าหนึ่งในสามเป็นชาวต่างชาติ ได้ตกเป็นเป้าหมายสำคัญในการดำเนินการครั้งนี้ด้วย
ในช่วงต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ICE ประกาศว่า ได้จับกุมผู้อพยพที่ไม่มีเอกสาร 239 คน ระหว่างปฏิบัติการหนึ่งสัปดาห์ในพื้นที่แอลเอ เนื่องจากการจับกุมและการเนรเทศโดยรวมยังล่าช้ากว่าที่ทรัมป์ตั้งเป้าไว้
ในเดือนถัดมา ทำเนียบขาวได้เพิ่มเป้าหมายให้เจ้าหน้าที่ ICE จับกุมผู้อพยพที่ไม่มีเอกสารให้ได้อย่างน้อย 3,000 คนต่อวัน
เจ้าหน้าที่ยังได้ขยายขอบเขตการค้นหาให้ครอบคลุมถึงสถานที่ทำงาน เช่น ร้านอาหารและร้านค้าปลีก การบุกค้นในแอลเอที่จุดชนวนให้เกิดการประท้วงเกิดขึ้นที่ซัพพลายเออร์เสื้อผ้าขายส่งและร้านขายอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านแห่งหนึ่ง
“คุณจะได้เห็นการบังคับใช้กฎหมายในสถานที่ทำงานมากกว่าที่คุณเคยเห็นในประวัติศาสตร์ของประเทศนี้” โทมัส โฮแมน เจ้าหน้าที่ด้านชายแดนของทรัมป์ กล่าว
การเนรเทศที่ทะเยอทะยานหลายระลอกนี้ได้รวมถึงการจับกุมผู้อพยพบนเครื่องบินทหารและส่งพวกเขาไปยังอ่าวกวนตานาโม ก่อนจะนำพวกเขากลับมายังรัฐลุยเซียนาด้วย
ขณะที่ผู้อพยพคนอื่น ๆ ถูกเนรเทศไปยังคุกยักษ์ในเอลซัลวาดอร์ โดยมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่อยู่ในสหรัฐฯ อย่างถูกกฎหมายด้วย ผู้อพยพบางคนถูกส่งไปยังประเทศที่พวกเขาไม่ได้จากมาด้วย
การกระทำเหล่านี้จำนวนมากกำลังถูกท้าทายในทางกฎหมายในชั้นศาล
ประชาชนในแอลเอตอบโต้ต่อการบุกจับผู้อพยพอย่างไรบ้าง
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุปะทะกันระหว่างผู้ประท้วงกับเจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางนอกร้านขายส่งเสื้อผ้าแห่งหนึ่ง พวกเขาขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่และพยายามขัดขวางไม่ให้เจ้าหน้าที่รัฐบาลกลางทำการจับกุม เจ้าหน้าที่ในชุดปราบจลาจลจึงใช้ระเบิดแสงวาบและสเปรย์พริกไทยเพื่อควบคุมฝูงชน
ขณะที่บริเวณหน้าร้านโฮมดีโปในเมืองพาราเมาต์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองลอสแอนเจลิสไปทางใต้ราว 32 กม. มีการใช้แก๊สน้ำตาและระเบิดแสงวาบเข้าใส่ผู้ประท้วงที่รวมตัวกันอีกครั้งในวันเสาร์ที่ผ่านมา
ในโพสต์ข้อความบนโซเชียลมีเดีย ICE ได้บรรยายเหตุการณ์ดังกล่าวในวันเสาร์ว่า “เจ้าหน้าที่ตำรวจที่กล้าหาญของเรามีจำนวนน้อยกว่ามาก ผู้ก่อจลาจลกว่า 1,000 คนล้อมรอบและโจมตีอาคารของรัฐบาลกลาง”
ตำรวจในนครลอสแอนเจลิสตอบโต้การประท้วงโดยระบุว่าได้จับกุมผู้ประท้วง 29 คน ซึ่งเกือบทั้งหมดถูกจับกุมในข้อหาไม่ยอมสลายการชุมนุม ซึ่งเป็นความผิดทางอาญา ตามรายงานของซีบีเอสนิวส์ (CBS News) ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านสื่อในสหรัฐฯ ของบีบีซี
ต่อมาในวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันที่สามของการประท้วง กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิเดินทางมาถึงนครลอสแอนเจลิส และถูกพบเห็นว่ากำลังสร้างกำแพงกั้นผู้ประท้วงนอกอาคารของรัฐบาลกลางที่มีศูนย์กักขังอยู่ภายใน
ในการพูดคุยที่ตึงเครียดครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ของรัฐบาลกลางที่มีตราสัญลักษณ์ของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้ยิงสิ่งที่ดูเหมือนเป็นแก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย และกระสุนที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตบางชนิดใส่กลุ่มผู้ประท้วง
ที่มา : BBC / วันที่เผยแพร่ 9 มิถุนายน 2568
Link :https://www.bbc.com/thai/articles/cy8nm1kr19xo