สังคมสมัยใหม่จะทํางานในโลกที่ไม่มีไฟฟ้าได้อย่างไร เมื่อเร็ว ๆ นี้คาบสมุทรไอบีเรียต้องเผชิญกับความเป็นจริงอันโหดร้ายของความท้าทายนี้ เมื่อประสบปัญหาไฟดับครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปในรอบสองทศวรรษ
การหยุดทํางานในเดือน เม.ย.ทําให้ผู้คนหลายสิบล้านคนในสเปนและโปรตุเกสไม่มีไฟฟ้า และส่งผลกระทบต่อการขนส่ง การธนาคาร และเครือข่ายการสื่อสาร ในขณะที่โรงพยาบาลต้องพึ่งพาเครื่องกําเนิดไฟฟ้าสํารอง
นี่ไม่ใช่ไฟฟ้าดับครั้งแรกในยุโรปในปีนี้ ในเดือนมีนาคม สนามบินลอนดอนฮีทโธรว์ปิดตัวลงหลังจากเกิดเพลิงไหม้ที่สถานีย่อยเพียงแห่งเดียวที่จัดหาพลังงานให้กับศูนย์กลางการขนส่งที่พลุกพล่านที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ยกเลิกเที่ยวบินและทําให้บ้านหลายพันหลังไม่มีไฟฟ้า สาเหตุของเพลิงไหม้ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด แต่ค่าใช้จ่ายโดยรวมของอุตสาหกรรมการบินอยู่ที่ประมาณ 60 ล้านปอนด์ (78 ล้านดอลลาร์)
เหตุการณ์ทั้งสองเน้นย้ำถึงความจําเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงความพร้อมและความยืดหยุ่นโดยรวมของระบบไฟฟ้า ท่ามกลางความต้องการไฟฟ้าทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงพลังงานสะอาด และเหตุการณ์สภาพอากาศที่เป็นอันตรายที่เกิดขึ้นบ่อยขึ้น
ข่าวดีก็คือมีวิธีแก้ปัญหาสําหรับภาคเอกชนและภาครัฐเพื่อหลีกเลี่ยงการหยุดชะงักของพลังงานที่มีค่าใช้จ่ายสูงในอนาคต
ผลกระทบสองด้านของการปฏิวัติเขียวในอินเดีย ความมั่นคงทางอาหารแลกมาด้วยความเปราะบางของระบบนิเวศ
การปฏิวัติเขียวที่เริ่มต้นขึ้นในอินเดียช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ได้พลิกโฉมการเกษตรอย่างสิ้นเชิง ด้วยการแนะนำข้าวสาลีและข้าวพันธุ์ให้ผลผลิตสูง ทำให้ผลผลิตอาหารเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และช่วยชีวิตผู้คนจากภาวะอดอยากได้จริง
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จนี้ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่สูงต่อระบบนิเวศและวัฒนธรรม การทำฟาร์มเชิงเดี่ยวที่พึ่งพาปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงได้เข้ามาแทนที่ระบบการปลูกพืชแบบดั้งเดิมที่มีความหลากหลาย ทำให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากต้องละทิ้งพืชผลพื้นเมืองที่ยั่งยืน
ผลกระทบยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน รายงานล่าสุดของอินเดียชี้ว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบจำนวนมากยังคงประสบปัญหาด้านโภชนาการ เช่น ภาวะแคระแกร็น ผอมแห้ง และน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการที่อาหารดั้งเดิมที่อุดมด้วยสารอาหารอย่างข้าวฟ่าง พืชตระกูลถั่ว และผักพื้นเมืองถูกแทนที่ด้วยอาหารหลักที่ให้พลังงานสูงแต่มีสารอาหารน้อย ทำให้เกิด “ความหิวโหยที่ซ่อนอยู่”
นอกจากนี้ การสูญเสียพืชพื้นเมืองยังทำให้ระบบนิเวศอ่อนแอลง แต่ละชนิดของพืชพื้นเมืองมีบทบาทสำคัญในการค้ำจุนระบบพืชและสัตว์ที่ซับซ้อน การหายไปของพันธุ์พืชเหล่านี้จึงก่อให้เกิดผลกระทบลูกโซ่ที่ทำให้สิ่งแวดล้อมที่เปราะบางอยู่แล้วยิ่งไร้เสถียรภาพ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการพึ่งพาพืชผลทั่วโลกเพียงไม่กี่ชนิดนี้ทำให้ระบบอาหารมีความเสี่ยงสูงต่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยแล้งและการระบาดของศัตรูพืชชนิดใหม่
ระบบพลังงานยุคใหม่ เผชิญความท้าทายคู่ขนานเพื่ออนาคตที่ยืดหยุ่น
ระบบพลังงานทั่วโลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันสองด้านที่สำคัญ ความต้องการไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น และ ภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น
ในอดีต ระบบพลังงานในประเทศพัฒนาแล้วถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการผลิตแบบรวมศูนย์และการไหลของไฟฟ้าแบบทางเดียว ซึ่งเหมาะกับสภาพอากาศที่มั่นคงในอดีต แต่ปัจจุบันความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของประชากร การเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าในภาคส่วนต่าง ๆ การขยายตัวของศูนย์ข้อมูล AI รวมถึงความต้องการระบบทำความเย็นและยานยนต์ไฟฟ้า ในขณะเดียวกัน การเข้ามาของแหล่งพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์อย่างพลังงานแสงอาทิตย์และลม ซึ่งขาด “ความเฉื่อย” หรือโมเมนตัมตามธรรมชาติที่ช่วยให้โครงข่ายไฟฟ้าเสถียร ก็เป็นความท้าทายใหม่
นอกจากนี้ ภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะความร้อนจัดและภาวะขาดแคลนน้ำ กำลังรบกวนการผลิตไฟฟ้าและคาดว่าจะเป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียและความตึงเครียดในระบบพลังงานในอนาคต หากอุณหภูมิโลกสูงเกิน 2 องศาเซลเซียส คาดว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในสหรัฐฯ และโรงไฟฟ้าพลังความร้อนในยุโรปอาจลดกำลังการผลิตลงถึง 4.5% ซึ่งหากไม่มีการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียนอย่างรวดเร็ว ภัยพิบัติทางสภาพภูมิอากาศจะกลายเป็นความตึงเครียดเรื้อรังต่อระบบพลังงาน
อย่างไรก็ตาม แรงกดดันเหล่านี้ไม่ได้เกินรับมือ การวางแผนสำรองและมาตรการฉุกเฉินสามารถพัฒนาเพื่อรับประกันการทำงานของโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบัน และความท้าทายเหล่านี้ไม่ควรชะลอการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด แต่กลับเป็นสิ่งจำเป็นในการเร่งการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานคาร์บอนต่ำ ขณะเดียวกันก็ทนทานต่อแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากความต้องการและภัยคุกคามจากสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น
ความยืดหยุ่น นโยบายพลังงานแนวใหม่
เหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ในไอบีเรียเมื่อเร็วๆ นี้เผยให้เห็นช่องโหว่ด้านความยืดหยุ่นของระบบพลังงาน แม้ระบบจะถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นในตัว แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันจำเป็นต้องมีการเสริมสร้างเพิ่มเติม โดยมีแนวทางแก้ไขหลายประการ:
เพิ่มความเฉื่อยของระบบ: การนำเทคโนโลยีอย่างระบบสูบน้ำผลิตไฟฟ้า (pumped hydro storage), ระบบกักเก็บพลังงานแบตเตอรี่ (battery energy storage systems), ฟลายวีล (flywheels) และพลังงานความร้อนแบบซิงโครนัส (synchronous thermal energy) มาใช้ เพื่อชดเชยการขาดความเฉื่อยเมื่อพลังงานฟอสซิลถูกแทนที่ด้วยแหล่งพลังงานสะอาด นอกจากนี้ การขยายการติดตั้งพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์ก็ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของระบบได้
เสริมสร้างการเชื่อมโยงโครงข่าย: การเชื่อมต่อโครงข่ายไฟฟ้าข้ามประเทศสามารถช่วยให้มีการแบ่งปันทรัพยากรไฟฟ้าในกรณีฉุกเฉิน ซึ่งนอกจากจะเพิ่มความน่าเชื่อถือแล้ว ยังเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดด้วย
พัฒนาระบบกักเก็บและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ: การติดตั้งระบบกักเก็บพลังงานเพื่อเสริมการผลิตพลังงานหมุนเวียน และการสร้างความยืดหยุ่นของระบบผ่านโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะ การจัดการด้านอุปสงค์ และไมโครกริดแบบกระจายศูนย์ จะช่วยให้โครงข่ายพลังงานมีความมั่นคงและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว
รับมือภัยธรรมชาติ: มาตรการเชิงรุก เช่น การจัดการพืชพรรณอย่างยั่งยืน การเฝ้าระวังสภาพอากาศ และการพยากรณ์กำลังการผลิตสายส่งแบบไดนามิก จะช่วยลดความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังต้องมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ทนความร้อนและเทคโนโลยีทำความเย็น รวมถึงการใช้ AI และข้อมูลเรียลไทม์เพื่อสร้างแบบจำลองผลกระทบจากสภาพอากาศและระบบเตือนภัยล่วงหน้า
ธรรมาภิบาล: การกำหนดบทบาท แรงจูงใจ และกฎระเบียบที่ชัดเจนทั่วทั้งภาคส่วนไฟฟ้าเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อรักษาความมั่นคงทางพลังงาน โดยการกำหนดความรับผิดชอบและแรงจูงใจอย่างเป็นระบบ พร้อมระบุและลดความเสี่ยง จะช่วยเสริมสร้างทั้งกลไกการป้องกันและการฟื้นฟู
การจัดการกับความท้าทายเหล่านี้และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบพลังงานเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานคาร์บอนต่ำได้อย่างต่อเนื่อง และรับมือกับอนาคตที่เต็มไปด้วยความต้องการที่สูงขึ้นและภัยคุกคามทางสภาพอากาศที่เพิ่มขึ้น
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 26 พฤษภาคม 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/environment/1181533