ภาพโกลบอลไทมส์
เมื่อ 7 ปีที่แล้ว จีนประกาศแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติ “เมดอินไชน่า 2025” ตั้งเป้าหมายการพัฒนา 10 ภาคอุตสาหกรรมการผลิตของแดนมังกร ให้ผงาดทัดเทียมบนเวทีการแข่งขันระดับโลกภายในปี พ.ศ.2568
หากย้อนดูเส้นทางการพัฒนาด้านเทคโนโลยีของจีน ก็จะเข้าใจได้ว่า จีนกลายเป็นภัยอันน่ากลัวต่อผู้นำด้านเทคโนโลยีอย่างสหรัฐฯ ในทุกวันนี้ได้อย่างไร
ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ กำลังถูกจีนไล่ตามมาเหลือระยะห่างกันมากน้อยแค่ไหน และเหตุใดรัฐบาลของประธานาธิบดี โจ ไบเดน จึงรู้สึกถูกคุกคามถึงขนาดต้องยกระดับมาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีแก่จีนเมื่อเร็ว ๆ นี้ อธิบายได้จากสิ่งต่อไปนี้
1.ความเฟื่องฟูด้านการวิจัย
จีนมีการลงทุนด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ตอนนั้นเศรษฐกิจแดนมังกรกำลังบูม หลังจากการฟื้นฟูเปิดประเทศและเศรษฐกิจของผู้นำ “เติ้ง เสี่ยวผิง” ในช่วงต้นคริสต์ทศวรรษ 1990 (พ.ศ.2533-2542)
เมื่อดูการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาทั้งหมด (Gross R&D spending) ของแต่ละฝ่าย พบว่า จีนไล่ตามมาชนิดหายใจรดต้นคอในปัจจุบัน โดยจีนมีโอกาสลดช่องว่างให้แคบลงในช่วงที่สหรัฐฯ เผชิญวิกฤตเศรษฐกิจ ทั้งภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ด็อตคอมในปี 2540-2543 และวิกฤตการเงินโลกระหว่างปี 2551-2552 ซึ่งทำให้การใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาของสหรัฐฯ ชะลอ หรือหดตัวลง
แม้องค์การความร่วมมือและการพัฒนาเศรษฐกิจ (OECD) ยังไม่แถลงตัวเลขการใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนาทั้งหมดประจำปี 2564 แต่จีนมีการประกาศการลงทุนด้าน R&D ของรัฐบาลในปีที่แล้วเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 14 เป็น 2.8 ล้านล้านหยวน (388,000 ล้านดอลลาร์) จากร้อยละ 10.2 ในปี 2563 เปรียบเทียบกับงบประมาณด้าน R&D ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ในปีที่แล้ว ลดลงร้อยละ 2.6 เหลือ 165,600 ล้านดอลลาร์ จากตัวเลขของศูนย์สถิติวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์แห่งชาติ
2.ความต้องการเทคโนโลยีขั้นสูงเติบโต
จีนเป็นชาติผู้ส่งออกสินค้ารายใหญ่สุดในโลก แต่จีนก็นำเข้าสินค้าไฮเทคอย่างดุเดือดด้วย เช่น ดาวเทียม เส้นใยแก้วนำแสง ซิลิคอน ลำแสงเลเซอร์ เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยมีสัดส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้นในช่วงทศวรรษที่แล้ว จากร้อยละ 16.3 เป็นร้อยละ 18.6 ตามข้อมูลของ “คิม มินวู” นักวิจัยของสมาคมการค้าระหว่างประเทศแห่งเกาหลี
ตัวเลขการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งน่าจะเพื่อการประกอบชิ้นส่วนสินค้า เช่น สมาร์ทโฟน หรือคอมพิวเตอร์ เนื่องจากจีนเป็นฐานการผลิตสินค้าแหล่งใหญ่จนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานของโลก อย่างไรก็ตาม การนำเข้าสินค้าไฮเทคอย่างมากมายทำให้จีนตกอยู่ในความเสี่ยง เมื่อสหรัฐฯ ลงดาบควบคุมการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูงให้แก่จีน บริษัทวิจัย TrendForce ชี้ว่า ถ้าสหรัฐฯ เชือดการส่งออกหนักมือกว่านี้ การใช้ระบบคอมพิวเตอร์สมรรถนะสูง (HPC) หรือซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของจีนอาจเสียหายย่อยยับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพัฒนาอาวุธ โครงการอวกาศและด้านปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ โดยมาตรการหนึ่งที่สหรัฐฯ เพิ่งประกาศเมื่อต้นเดือน ต.ค.ก็คือ ห้ามการส่งออกชิปที่ใช้สำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และเอไอ
เซมิคอนดักเตอร์เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการประกอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น อุปกรณ์สื่อสาร คอมพิวเตอร์ ยานยนต์ เอไอ และในการสร้างอาวุธทันสมัย – ภาพเอเอฟพี
3.สถานะด้านซูเปอร์คอมพิวเตอร์
จีนมีซูเปอร์คอมพิวเตอร์จำนวนมากแซงหน้าสหรัฐฯ ในปี 2559 และทิ้งห่างสหรัฐฯ มากที่สุดในปี 2563 แต่การเพิ่มมาตรการสกัดจีนเข้าถึงอุปกรณ์ไฮเทคทำให้ระยะห่างเริ่มลดลง จากข้อมูลของ TOP500 ซึ่งเป็นโครงการติดตามแนวโน้มด้าน HPC
ทั้งนี้ มีการนำซูเปอร์คอมพิวเตอร์มาใช้ในงานอย่างหลากหลาย ตั้งแต่การพยากรณ์อากาศ ไปจนถึงการพัฒนาวัคซีนและการสำรวจอวกาศ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์สามารถจำลองการทดสอบนิวเคลียร์ การต่อต้านขีปนาวุธ และจัดการกับข้อมูลมหาศาล ที่ใช้ในการพัฒนาเอไอ
4.ความเร็วของซูเปอร์คอมพิวเตอร์
สหรัฐฯ ยังเหนือชั้นกว่าจีนในด้านนี้ และที่ซ้ำร้ายก็คือ ในขณะที่จีนกำลังพยายามเพิ่มความเร็วในการประมวลผลข้อมูล บริษัทซูเปอร์คอมพิวเตอร์ 7 ราย ของจีนก็มาเจอกับมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ เข้าอีก โดยสหรัฐฯ อ้างเหตุผล ดำเนินกิจกรรมเป็นภัยต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ในด้านนโยบายต่างประเทศของตน แต่ปักกิ่งโต้ว่า เป็นแผนสกัดดาวรุ่งต่างหาก
5.อิทธิพลด้านปัญญาประดิษฐ์
จีนมีความก้าวหน้าด้านเอไออย่างไม่หยุดยั้ง แตกต่างจากการพัฒนาสมรรถนะซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ยังหยุดนิ่ง โดยเมื่อปี 2560 จีนประกาศเป็นผู้นำด้านเอไอของโลกให้ได้ภายในปี 2573 สร้างขวัญกำลังใจทำให้เกิดผลงานวิจัยด้านนี้เผยแพร่ออกมามากขึ้น รายงานสถานการณ์ด้านเอไอ 2565 โดยนักลงทุนคือนายนาทาน เบอเนช และนายเอียน โฮการ์ท ระบุว่า จีนมุ่งการพัฒนาไอเอในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเฝ้าระวังตรวจตรา เช่น การติดตามค้นหา การตรวจจับความเคลื่อนไหว หรือวัตถุมากกว่าสหรัฐฯ
ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ใช้การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีน ครั้งที่ 20 เป็นเวทีระดมความพยายามเพิ่มขึ้นอีก 2 เท่า เพื่อเอาชนะในสงครามเทคโนโลยีส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญ การเรียกร้องของผู้นำจีนสะท้อนว่าความตึงเครียดกับสหรัฐฯ กำลังเขม็งเกลียว – ภาพเอเอฟพี
6.ขนาดของชิป
อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีมูลค่า 550,000 ล้านดอลลาร์ คือแนวรบในสงครามเทคโนโลยีระหว่างชาติทั้งสอง โดยจากข้อมูลของเกาหลีใต้ จีนมีส่วนแบ่งการผลิตชิปในโลกเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 2 ในปี 2543 เป็นร้อยละ 17 ในปี 2563 ขณะที่ส่วนแบ่งของสหรัฐฯ ลดลงจากร้อยละ 24 เหลือร้อยละ 12 ในช่วงเดียวกัน
รายงานของศูนย์วิทยาศาสตร์และกิจการระหว่างประเทศเบลเฟอร์ ในสังกัดมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งเผยแพร่ก่อนหน้ามาตรการจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีรอบล่าสุด คาดการณ์ว่าจีนจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24 ภายในปี 2573 แต่สหรัฐฯ จะลดลงเหลือร้อยละ 10
การผลิตชิปขนาดเล็กลงแต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น คือหัวใจของการแข่งขัน โดยเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา แมนูแฟกเจอริ่ง อินเตอร์เนชันแนล คอร์ป ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของจีน สามารถพัฒนาชิปขุดบิตคอยน์ระดับ 7 นาโนเมตรได้สำเร็จ พลิกความคาดหมายที่ว่าบริษัทจะไม่สามารถผลิตชิปเล็กกว่า 10 นาโนเมตรได้ เนื่องจากสหรัฐฯ ห้ามส่งออกเครื่องมือผลิตชิป
อย่างไรก็ตาม แม้ปรากฏรายงานความสำเร็จดังกล่าว แต่การพัฒนาอุตสาหกรรมชิปในประเทศของจีนยังมีสภาพดิ้นรนขวนขวาย ทั้งที่ได้ทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาก็ตาม
7.เงินทุนของบริษัทสตาร์ทอัป
การจำกัดการขายเครื่องมือผลิตชิปแก่บริษัทของจีน ซึ่งรวมทั้งเครื่องมือออกแบบอัตโนมัติทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือซอฟต์แวร์ EDA หัวใจสำคัญสำหรับการผลิตชิประดับ 3 นาโนเมตรนั้น ทำให้จีนต้องเร่งสร้างนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในประเทศ โดยจากข้อมูลของ “เซมิคอนดักเตอร์เอ็นจิเนียริ่ง” สื่อสิ่งพิมพ์ด้านอุตสาหกรรมระบุว่า บริษัทสตาร์ทอัปผู้ผลิตชิปและเทคโนโลยีสำคัญอื่นๆ ของจีนโตแซงหน้าสหรัฐฯ 9 เท่า ในด้านการจัดหาเงินทุนเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา
นายควอน ซ็อก ยูน อาจารย์ด้านชิปประจำมหาวิทยาลัยซุง คยุน กวาน ของเกาหลีใต้ และผู้แต่งหนังสือเรื่อง “สงครามเซมิคอนดักเตอร์ในเอเชียตะวันออก” (Semiconductor War in East Asia) ระบุว่า สงครามครั้งนี้มีราคาแพงสำหรับสหรัฐฯ ด้วยเช่นกัน และสงครามจะยิ่งเข้มข้น หลังจากประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ประกาศรณรงค์ให้จีนพึ่งพาตนเองในการประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งปิดฉากลง
ข้อมูลจาก “How China Became a Threat to the US’s Tech Leadership” ในบลูมเบิร์ก
————————————————————————————————————————————————
ที่มา : ผู้จัดการออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 24 ต.ค.65
Link : https://mgronline.com/china/detail/9650000101420