เอกวาดอร์กำลังเผชิญวิกฤตการประท้วงต่อต้านรัฐบาลที่ยืดเยื้อและทวีความรุนแรง จากกระแสความไม่พอใจ หลังประธานาธิบดีเลนิน โมเรโน ของเอกวาดอ ตัดสินใจยกเลิกมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมัน ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศพุ่ง จนต้องประกาศภาวะฉุกเฉินแล้ว
ประชาชนหลายพันคนในเอกวาดอร์ ยังชุมนุมประท้วงต่อต้านมาตรการรัดเข็มขัดของรัฐบาลเอกวาดอร์ ภายใต้การนำของประธานาธิบดี “เลนิน โมเรโน” และเปิดศึกปะทะกับตำรวจปราบจลาจลในหลายจุด รวมทั้งที่หน้าอาคารรัฐสภาในกรุง “กีโต” เมืองหลวงของเอกวาดอร์ ขณะที่มีรายงานว่าผู้ประท้วงถูกจับกุมไปแล้วไม่ต่ำกว่า 570 คน คาดว่าจะมียอดผู้บาดเจ็บและแต่ยังไม่มีรายงานเป็นทางการ
การประท้วงที่ทวีความรุนแรง ทำให้ผู้นำเอกวาดอร์ต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน และย้ายที่ทำการรัฐบาลออกจากเมืองหลวงไปที่ Guayaquil นอกจากนี้รัฐบาลเอกวาดอร์ยังร้องขอให้ต่างชาติเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดขึ้นผ่านทางสหประชาชาติ
โดยการประท้วงครั้งนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายสัปดาห์ มี การประท้วงในเอกวาดอร์ เริ่มขึ้นหลังจากประธานาธิบดีเลนิน โมเรโน ของเอกวาดอ ตัดสินใจยกเลิกมาตรการอุดหนุนราคาน้ำมันเชื้อเพลิงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัดเข็มขัด ตามเงื่อนไขของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เพื่อขอกู้เงิน 4.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.3 แสนล้านบาท) ส่งผลให้ราคาน้ำมันในประเทศพุ่งสูงขึ้นกว่า 120% หลังรัฐบาลยกเลิกมาตรการพยุงราคา
นอกจากนี้ เอกวาดอร์เตรียมลาออกจากการเป็นสมาชิกองค์การกลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันออก (OPEC) โดยเริ่มมีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2020 วิกฤติเศรษฐกิจเอกกวาดอ เริ่มส่งผลมาจากการที่รัฐบาล ใช้งบประมาณ กว่า 1.3 พันล้านดอลล่าสหรัฐต่อไปในการพยุงราคาน้ำมันส่งผลให้เกิดการขาดดุลและประสบภาวะหนี้สาธารณะพุ่งสูง
——————————————-
ที่มา : MThai / 10 ตุลาคม 2562
Link : https://news.mthai.com/world-news/766523.html