รายชื่อ เมืองน่าอยู่ที่สุดในโลก 2025 แชมป์โคเปนเฮเกน กทม. ขยับขึ้น อันดับ 116

Loading

ในปี 2025 หน่วยงานวิจัยเศรษฐกิจระดับโลกอย่าง The Economist Intelligence Unit (EIU) ได้เผยผลการจัดอันดับ “เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก” (Global Liveability Index 2025) โดยทำการประเมินเมืองต่างๆ ทั่วโลกจำนวน 173 เมือง พิจารณาจากตัวชี้วัดมากกว่า 30 รายการ ครอบคลุม 5 หมวดหลัก

โคเปนเฮเกน ต้นแบบเมืองน่าอยู่มีความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจ

Loading

    ทุกวันนี้เมืองยังคงเป็นจุดหมายปลายทางของคนจำนวนไม่น้อยที่ต้องการแสดงหาโอกาสในชีวิต แต่ในปัจจุบัน การใช้ชีวิตในเมืองไม่ดีมีแค่ความท้าทายทางเศรษฐกิจและสังคม ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กำลังกลายเป็นความท้าทายที่มีความสำคัญด้วยเช่นกัน ความน่าอยู่ของเมืองจึงขึ้นอยู่กับมิติเหล่านี้ทั้งหมด โคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก เป็นตัวอย่างที่ดีของเมืองที่สามารถสร้างสมดุลระหว่างคุณภาพชีวิตที่ดี ความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อม และความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจได้อย่างน่าสนใจ โคเปนเฮเกนได้ปฏิวัติระบบการเดินทางในเมืองด้วยการลงทุนอย่างมหาศาลในเส้นทางจักรยาน ปัจจุบันมีเส้นทางจักรยานมากกว่า 350 กิโลเมตร ทำให้ประชากรราว 62% ใช้จักรยานเป็นพาหนะหลักในการเดินทางประจำวัน กลยุทธ์นี้ส่งผลดีต่อสุขภาพของประชาชนและทำให้พื้นที่ถนนสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ระบบขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพทั้งรถไฟใต้ดิน รถบัส และรถไฟ ยังช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัวได้อย่างมีนัยสำคัญ   ใจกลางเมืองของโคเปนเฮเกนมีถนนคนเดินที่ยาวที่สุดในยุโรป นั่นคือ ถนนสตรอยเกต ซึ่งไม่เพียงแต่ส่งเสริมวัฒนธรรมการเดินเท้า แต่ยังเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญด้วย ร้านค้า ร้านอาหาร และธุรกิจต่างๆ เติบโตขึ้นรอบพื้นที่นี้ สร้างชีวิตชีวาให้กับกิจกรรมทางเศรษฐกิจในท้องถิ่น   ความมุ่งมั่นด้านสิ่งแวดล้อมของโคเปนเฮเกนเป็นหนึ่งในจุดเด่นที่น่าสนใจที่สุด เมืองนี้ตั้งเป้าที่จะเป็นเมืองคาร์บอนเป็นกลางภายในปี 2568 ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศที่ทะเยอทะยานที่สุดในโลก การให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ และงานในภาคพลังงานสีเขียวอีกด้วย ระบบความร้อนจากส่วนกลาง (District heating) เป็นนวัตกรรมที่โดดเด่นอีกประการหนึ่งของโคเปนเฮเกน ครัวเรือนเกือบ 98% เชื่อมต่อกับระบบนี้ ซึ่งใช้ความร้อนเหลือทิ้งจากการผลิตไฟฟ้า ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและลดต้นทุนพลังงานสำหรับประชาชน สะท้อนให้เห็นถึงการคิดอย่างเป็นระบบในการจัดการทรัพยากร   พื้นที่สีเขียวกระจายอยู่ทั่วเมือง โดยมีการวางแผนให้ประชาชนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในระยะไม่เกิน 300 เมตรจากพื้นที่สาธารณะเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ สวนสาธารณะและพื้นที่สีเขียวเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มคุณภาพชีวิต แต่ยังช่วยในการจัดการน้ำฝนและลดผลกระทบจากภาวะความร้อนในเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ  …