สหรัฐสอดแนมยุโรปผ่านระบบเคเบิลใต้น้ำเดนมาร์ก

Loading

  สำนักงานข่าวกรองเดนมาร์ก “ช่วยเหลือ” สหรัฐ ด้วยการให้สอดแนมความเคลื่อนไหวของนักการเมืองคนสำคัญในยุโรปหลายคน รวมถึงนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ผ่านสถานีเคเบิลใต้น้ำในประเทศ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 31 พ.ค. โดยอ้างจากรายงานของสถานีโทรทัศน์ดีอาร์จากเดนมาร์ก ว่า สำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ ( เอ็นเอสเอ ) ซึ่งเป็นหน่วยข่าวกรองที่มีภารกิจทั้งในและต่างประเทศ ภายใต้การกำกับดูแลโดยประทรวงกลาโหมของสหรัฐ อาศัย “ความร่วมมือ” จากสำนักงานข่าวกรองของเดนมาร์ก ระหว่างปี 2555 – 2557 สอดแนมเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหลายประเทศในทวีปยุโรป ไม่ว่าจะเป็นสวีเดน นอร์เวย์ ฝรั่งเศส และเยอรมนี   BREAKING: Denmark's secret service has helped the United States spy on German Chancellor Angela Merkel and other European politicians.https://t.co/loxpAw6UKg — DW News…

ไมโครซอฟท์เผยแฮกเกอร์ ‘โซลาร์วินด์ส’ โจมตี 150 องค์กรด้วย ‘ฟิชชิง’ อีเมล์

Loading

  บริษัทไมโครซอฟท์เปิดเผยว่า กลุ่มแฮคเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัสเซีย ที่อยู่เบื้องหลังการแฮก “โซลาร์วินด์ส” เพื่อล้วงข้อมูลหน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลเมื่อปีที่ผ่านมา ได้ทำการโจมตีทางไซเบอร์หน่วยงานรัฐบาลของสหรัฐฯ และต่างประเทศ รวมทั้งสถาบันคลังสมอง หรือ think tanks ในสัปดาห์นี้ ด้วยการใช้เทคนิค สเปียร์ ฟิชชิง หรือการโจมตีโดยมีเป้าหมายแน่ชัด ผ่านการใช้อีเมล์ของหน่วยงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศสหรัฐ หรือยูเอสเอด (U.S. Agency for International Development) นาย ทอม เบิร์ท รองประธานของไมโครซอฟท์ กล่าวในบล็อกโพสท์ในตอนค่ำของวันพฤหัสบดีว่า การโจมตีดังกล่าว มุ่งเป้าไปที่อีเมล์จำนวน 3,000 อีเมล์ขององค์กรมากกว่า 150 แห่ง ซึ่งอย่างน้อยหนึ่งในสี่ขององค์กรเหล่านั้น ทำงานเกี่ยวข้องกับการพัฒนาระหว่างประเทศ การให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม และงานด้านสิทธิมนุษยชน อย่างไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ไม่ได้ระบุในบล็อกโพสท์ว่าความพยายามของกลุ่มแฮ็คเกอร์ดังกล่าวสำเร็จมากน้อยเพียงใด ด้าน Volexity บริษัทรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ ซึ่งทำการติดตามการแฮกดังกล่าว แต่ไม่มีความสามารถในการติดตามจากระบบอีเมล์มากเท่ากับไมโครซอฟท์ รายงานว่า อัตราการตรวจจับอีเมล์ฟิชชิงที่มีอยู่น้อย บ่งบอกว่า กลุ่มแฮกเกอร์ “น่าจะประสบความสำเร็จพอสมควรในการแทรกซึมเป้าหมาย” รองประธานไมโครซอฟท์ ยังกล่าวด้วยว่า การโจมตีในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่ากลุ่มแฮกเกอร์รัสเซียมีความพยายามอย่างต่อเนื่องหลายครั้งในการ…

กระทรวงความมั่นคงฯ เตือนกลุ่มสุดโต่งอาจฉวยโอกาสโจมตีหลังผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19

Loading

    เมื่อวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ หรือ DHS ออกคำเตือนใหม่ซึ่งระบุว่าการผ่อนคลายมาตรการจำกัดเกี่ยวกับโควิด-19 อาจทำให้กลุ่มสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงใช้เป็นโอกาสเพื่อโจมตีในสหรัฐฯ ได้ การผ่อนคลายข้อจำกัดเกี่ยวกับมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้เจ้าหน้าที่ด้านต่อต้านการก่อการร้ายของสหรัฐฯ กังวลว่าสภาพแวดล้อมของการควบคุมที่เปลี่ยนไปอาจทำให้กลุ่มแนวคิดแบบสุดโต่งหลายกลุ่มฉวยโอกาสเพื่อโจมตีครั้งใหม่ได้ โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ได้เตือนเมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วว่าสภาพแวดล้อมของภัยคุกคามขณะนี้มีทั้งความผันผวนและความสลับซับซ้อนมากขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงที่มีมาตรการควบคุมเรื่องโควิด-19 อย่างเข้มงวดและมีการจำกัดจำนวนคนในสถานที่สาธารณะต่างๆ คำเตือนของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ดังกล่าวไม่ได้ระบุรายละเอียดเกี่ยวกับภัยคุกคามอย่างเฉพาะเจาะจงเพียงแต่ระบุว่าภัยคุกคามอาจเกิดขึ้นได้ทั้งจากกลุ่มแนวคิดสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงภายในประเทศหรือที่มีชื่อย่อโดยรวมว่า DVE และจากกลุ่มสุดโต่งที่นิยมความรุนแรงซึ่งมีสาเหตุจูงใจจากเรื่องเชื้อชาติหรือชาติพันธ์หรือที่เรียกว่ากลุ่ม RMVE ซึ่งทั้งสองกลุ่มนี้มักมุ่งเป้าโจมตีสถานที่สักการะทางศาสนา สถานที่ซึ่งเป็นที่ชุมนุมของคนจำนวนมาก รวมทั้งที่ตั้งของหน่วยงานรัฐบาลเป็นต้น พร้อมทั้งยังเตือนว่ากลุ่มสุดโต่งที่นิยมแนวทางรุนแรงเหล่านี้กำลังผลักดันข่าวสารการโฆษณาชวนเชื่อทั้งทางออนไลน์และทางสื่อสังคมต่างๆ เพื่อพยายามฉวยประโยชน์จากความไม่พอใจด้านความไม่ยุติธรรมทางสังคมและเชื้อชาติและความกังวลเกี่ยวกับการใช้กำลังรุนแรงของตำรวจ เป็นต้น แต่นอกจากภัยคุกคามจากกลุ่มก่อการร้ายภายในประเทศแล้ว กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิของสหรัฐฯ ยังเตือนเรื่องภัยคุกคามจากนอกประเทศ เช่น จากกลุ่มรัฐอิสลามหรือ IS กลุ่มอัลไคด้า และจากบางประเทศ เช่นรัสเซียกับจีนเป็นต้น โดยกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้ระบุในคำแถลงว่าทางกระทรวงได้เพิ่มความพยายามขึ้นเป็นสองเท่าเพื่อตรวจจับและสกัดกั้นการก่อการร้ายทั้งจากภายในและภายนอกประเทศรวมทั้งการใช้กำลังรุนแรงซึ่งมุ่งต่อเป้าหมายต่างๆ ขณะที่พยายามปกปักรักษาความเป็นส่วนตัวของประชาชนรวมทั้งสิทธิและเสรีภาพของพลเมืองด้วย คำเตือนจากกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิที่ว่านี้มีขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่ทางกระทรวงประกาศเรื่องการตั้งหน่วยงานใหม่เพื่อรวบรวมข้อมูลข่าวกรองและรับมือกับกลุ่มก่อการร้ายในประเทศโดยเฉพาะ คำเตือนเรื่องภัยคุกคามดังกล่าวดูจะสอดคล้องกับคำเตือนจากภาคเอกชนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ซึ่งนายโคลิน คล้าก ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและวิจัยของ The Soufan Group บริษัทที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและข่าวกรองได้กล่าวไว้ระหว่างการประชุมออนไลน์ว่า ขณะที่คนอเมริกันต้องการจะกลับคืนสู่สภาวะปกติหลังโควิด-19 นั้นการผ่อนคลายเรื่องนี้ก็ทำให้เกิดจุดอ่อนและความเสี่ยงตามมา เพราะจะเป็นโอกาสให้กลุ่มก่อการร้ายต่างๆ เร่งสร้างเครือข่าย รับสมัครสมาชิกใหม่ ระดมหาทุนและมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันได้ง่ายขึ้น เมื่อต้นปีนี้ สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติของสหรัฐฯ…

ก.ความมั่นคงภายในสหรัฐฯ ตั้งหน่วยงานใหม่รับมือ ‘ก่อการร้ายในประเทศ’

Loading

  นายอเลฮานโดร มายอร์คาส (Alejandro Mayorkas) รัฐมนตรีว่ากระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิสหรัฐฯ (Homeland Security) ประกาศเมื่อวันพุธว่า จะมีการจัดตั้งหน่วยงานข่าวกรองแห่งใหม่ภายใต้สังกัดกระทรวงความมั่นคงมาตุภูมิ ซึ่งจะทำหน้าที่รับมือ ‘แนวคิดรุนแรงสุดโต่งในประเทศ’ โดยเฉพาะ รัฐมนตรีมายอร์คาส กล่าวต่อคณะกรรมาธิการจัดสรรงบประมาณของวุฒิสภาสหรัฐฯ ว่า หน่วยงานใหม่นี้จะใช้การรวบรวมข้อมูลข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพและทันเหตุการณ์เพื่อต่อต้านภัยคุกคามจากแนวคิดสุดโต่งในอเมริกา รวมทั้งเพิ่มกำลังและทรัพยากรต่าง ๆ ในการดำเนินการด้านนี้ด้วย การเปิดเผยแผนจัดตั้งหน่วยงานใหม่นี้มีขึ้นท่ามกลางความกังวลเรื่องภัยคุกคามจากการก่อการร้ายในประเทศ หลังจากบรรดาเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายเตือนว่า กลุ่มแนวคิดรุนแรงสุดโต่งในอเมริกาอาจเกิดความฮึกเหิมขึ้นจากเหตุการณ์บุกโจมตีอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม โดยกลุ่มผู้สนับสนุนอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 5 ราย ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโจ ไบเดน จัดให้การต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายในประเทศเป็นภารกิจสำคัญอันดับต้น ๆ ของรัฐบาลชุดนี้ พร้อมทั้งสั่งการให้สำนักงานผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ (Office of the Director of National Intelligence – ODNI) จัดทำรายงานเกี่ยวกับภัยคุกคามจากแนวคิดรุนแรงสุดโต่งในประเทศ ซึ่ง ODNI เปิดเผยรายงานเมื่อเดือนมีนาคมว่า กลุ่มแนวคิดรุนแรงสุดโต่งได้ยกระดับการคุกคามในประเทศเพิ่มขึ้นในปีนี้ ด้าน จิล แซนบอร์น…

สหรัฐฯ พบ จีนทุ่มเงินนับสิบล้านผ่านกิจการสื่อเพื่อขยายอิทธิพลในหมู่ชาวอเมริกัน

Loading

รายงานล่าสุดจากหน่วยงานตรวจสอบของรัฐบาลสหรัฐฯ ชี้ว่า จีนได้ทุ่มงบประมาณสูงที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เพื่อลงทุนในธุรกิจกระจายเสียงและกิจการสื่อต่างๆ ของตน เพื่อขยายอิทธิพลในสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา รายงานการตรวจสอบภายใต้กฎหมาย Foreign Agents Registration Act (FARA) ของสหรัฐฯ ที่รวบรวมโดย Center for Responsive Politics ซึ่งเป็นหน่วยงานวิจัยอิสระไม่หวังผลกำไรในกรุงวอชิงตัน ระบุว่า สถานีโทรทัศน์ China Global Television Network (CGTN) ซึ่งรัฐบาลกรุงปักกิ่งเป็นเจ้าของ ทุ่มงบจำนวนกว่า 50 ล้านดอลลาร์เพื่อขยายการปฏิบัติการในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้ว โดยงบนี้คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์ของการใช้จ่ายของรัฐบาลจีนในการสร้างอิทธิพลต่อความคิดเห็นของชาวอเมริกันและนโยบายของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ CGTN เริ่มออกอากาศในสหรัฐฯ ในปี ค.ศ. 2012 สถานีโทรทัศน์จีนแห่งนี้ไม่ได้เปิดเผยตัวเลขเม็ดเงินที่ลงทุนในสหรัฐฯ อย่างสมบูรณ์นัก และรายงานการใช้จ่ายบางส่วนที่ประมาณ 43 ล้านดอลลาร์สำหรับปี ค.ศ. 2019 อย่างไรก็ดี การเปิดเผยตัวเลขที่ครบถ้วนที่ใช้จ่ายในปีที่แล้วออกมาของ CGTN ซึ่งนับเป็นครั้งแรก ทำให้ทีมงานผู้รวบรวมข้อมูลสรุปได้ว่า จีนใช้เงินเกือบ 64…

ธนาคารสหรัฐฯ ใช้ปัญญาประดิษฐ์ จับตาลูกค้าและพนักงาน

Loading

  ธนาคารอเมริกันหลายๆ แห่งเริ่มใช้ซอฟต์แวร์เฝ้าระวังและเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ วิชั่นเพื่อคอยจับตาดูผู้คนที่มาใช้บริการของตน คอมพิวเตอร์ วิชั่นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อทำความเข้าใจกับโลกที่เรามองเห็น จากการตรวจสอบของสำนักข่าวรอยเตอร์พบว่าซอฟต์แวร์ดังกล่าวนี้ถูกใช้เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับลูกค้า เพื่อเฝ้าดูพนักงาน และเพื่อตรวจดูผู้คนที่นอนหลับอยู่ใกล้ๆ เครื่องถอนเงินอัตโนมัติหรือตู้ ATM ธนาคารต่างๆ เช่น City National Bank of Florida และ JPMorgan Chase & Co ได้ทดลองใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าและปัญญาประดิษฐ์ (AI) แล้ว การเติบโตของเครื่องมือ AI ในอุตสาหกรรมการธนาคารอาจส่งสัญญาณการแพร่กระจายของเทคโนโลยีนี้ไปสู่อุตสาหกรรมอื่นๆ ด้วย Bobby Dominguez หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษาความปลอดภัยข้อมูลของธนาคาร City National Bank กล่าวว่าการที่สามารถเปิดใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนด้วยเทคโนโลยีจดจำใบหน้าได้นั้นก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเทคโนโลยีนี้ และว่าในเมื่อเราก็ใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีนี้กับโทรศัพท์มือถืออยู่แล้ว เราก็น่าจะนำมาใช้ในโลกความจริงได้ Dominguez กล่าวต่อไปว่าธนาคาร City National จะเริ่มทดลองใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าในปีหน้าเพื่อระบุลูกค้าและพนักงาน โดยเขาได้เพิ่มซอฟต์แวร์ที่สามารถค้นหารายชื่อบุคคลควรระวังของรัฐบาลไว้ด้วย อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีจดจำใบหน้าได้สร้างความกังวลด้านสิทธิพลเมืองในหมู่คนจำนวนมาก โดยมีการวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจับกุมผู้บริสุทธิ์ที่เทคโนโลยีนี้ได้ระบุตัวผิดๆ ซอฟต์แวร์ดังกล่าวถูกใช้อย่างไม่เป็นสัดส่วนในชุมชนที่ยากจนและเป็นชนกลุ่มน้อย นักวิจารณ์กล่าวอีกว่าเทคโนโลยีนี้ยังส่งผลให้สูญเสียความเป็นส่วนตัวอีกด้วย ในปีนี้ที่เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ห้ามไม่ให้ธุรกิจต่างๆ ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าในที่สาธารณะ และ Rite…