เผยโฉมมือคลั่งแทง-เผารถไฟญี่ปุ่น แต่งชุดโจ๊กเกอร์ ขนลุกคำให้การ

Loading

  เผยโฉมมือคลั่งแทง-เผารถไฟญี่ปุ่น – รอยเตอร์ รายงานผลการสอบสวนคดีชายญี่ปุ่นก่อเหตุคลั่งแทง และจุดไฟเผากลางตู้ขบวนรถไฟกรุงโตเกียว สยองขวัญช่วงค่ำวันฮัลโลวีน มีผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 17 คน ว่าชายผู้ก่อเหตุมีอายุ 24 ปี แต่งชุดโจ๊กเกอร์ ตัวละครวายร้ายในภาพยนตร์เรื่องแบตแมน     คลิปที่มีผู้บันทึกผู้ก่อเหตุไว้ได้ แสดงให้เห็นนาทีที่ชายหนุ่มคนนี้แต่งชุดโจ๊กเกอร์ เสื้อเชิ้ตสีเขียว และแจ๊กเก็ตสีม่วง นั่งสูบบุหรี่อย่างสบายใจ ระหว่างถูกตำรวจควบคุมตัวโดยไม่ขัดขืน สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวในข้อหาพยายามฆ่า ให้ปากคำในเบื้องต้น ว่าอยากฆ่าคน ตนเองจะได้ถูกประหารชีวิต   ? #BREAKING – #Tokyo | #Japan#UPDATE on the Keiō train station attack Video shows the alleged attacker moments before he attacked people on the train with…

ลาก่อน! เจ้าหน้าที่รัฐท้องถิ่นในโตเกียวตัดใจยอมเลิกใช้ฟลอปปีดิสก์

Loading

  ฟลอปปีดิสก์ (Floppy Disk) เป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลที่มีให้เห็นมาตั้งแต่ยุคแรก ๆ ของการใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในสำนักงาน สถานศึกษาและภายในบ้าน ต่อมาในช่วงต้นศตวรรษที่ 21 ก็เริ่มถูกแทนที่ด้วยหน่วยจัดเก็บข้อมูลแบบอื่น เช่น ซีดีรอมและดีวีดีรอม จนล่าสุดที่ใช้กันทั่วไปก็คือ แฟลชไดรฟ์ หรือ SSD, HDD External เพราะมีความจุในการจัดเก็บข้อมูลได้มากกว่าและถ่ายโอนข้อมูลได้เร็วกว่า ในขณะที่หลายคนเลิกใช้ฟลอปปีดิสก์กันไปนานเป็นสิบปีแล้ว ล่าสุดมีข่าวจากแดนซามูไรว่ารัฐบาลกลางของญี่ปุ่นพยายามขับเคลื่อนให้ภาครัฐเข้าสู่ยุคดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งต้องพบกับอุปสรรคเพราะเจ้าหน้าที่ของภาครัฐยังยึดถือกับการจัดเก็บและโอนย้ายข้อมูลด้วยฟลอปปีดิสก์มานานหลายสิบปี แต่ในที่สุดเจ้าหน้าที่สำนักงานท้องถิ่นของภาครัฐในโตเกียวเมืองหลวงของญี่ปุ่นได้เผยยอมตัดใจเลิกใช้ฟลอปปีดิสก์เสียที หลายคนถึงกับงงว่าหน่วยงานรัฐของญี่ปุ่นยังมีการใช้ฟลอปปีดิสก์เหลืออยู่อีกได้อย่างไรในเมื่อบริษัทโซนี (Sony) ผู้ผลิตฟลอปปีดิสก์ 3.5 นิ้วรายแรกได้หยุดการผลิตไปนานแล้วนับสิบปี ซึ่งเหตุผลคือทางหน่วยงานมีฟลอปปีดิสก์เก็บไว้ใช้งานมากมายและสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ จึงพอจะยืดเวลาและประหยัดเงินค่าอัปเกรดระบบใหม่ เมะงุโระแขวงพิเศษของโตเกียวมีแผนที่จะนำงานทั้งหมดที่จัดเก็บด้วยฟลอปปีดิสก์และสื่ออุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลอื่น ๆ มาใช้บนระบบออนไลน์ภายในปีงบประมาณ 2021 ส่วนแขวงชิโยะดะจะปรับเปลี่ยนตามมาในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ และแขวงมินาโตะได้ย้ายการจัดเก็บข้อมูลระบบชำระเงินจากฟลอปปีไปอยู่บนระบบออนไลน์แล้วตั้งแต่ปี 2019 เจ้าหน้าที่จัดการกองทุนสาธารณะสำหรับแขวงเมะงุโระกล่าวอาลัยถึงฟลอปปีดิสก์ว่าแผ่นดิสก์ไม่เคยพังและทำให้ข้อมูลสูญหาย (แต่สมัยที่แอดใช้แผ่นดิสก์นี่มันพังเป็นว่าเล่นเลยนะ) ซึ่งทางแขวงได้ใช้ฟลอปปีดิสก์ 3.5 นิ้วจัดเก็บข้อมูลการชำระเงินให้กับพนักงานส่งไปยังธนาคารมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเลิกใช้ตั้งแต่ปี 2019 เมื่อธนาคารมิซูโฮ (Mizuho Bank) แจ้งกับแขวงว่าจะเก็บเงินสำหรับการใช้อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล เช่น ฟลอปปีดิสก์ ในอัตรา 50,000 เยน (14,546.24…

ระอุหนัก! สหรัฐฯ ยกระดับป้องกันตนเองในเอเชีย-แปซิฟิก ส่ง ‘ฐานลอยน้ำยักษ์’ เข้าประจำการ

Loading

    กองทัพเรือสหรัฐฯ กำลังยกระดับป้องกันตนเองในเอเชีย-แปซิฟิก ท่ามกลางความตึงเครียดกับจีน ด้วยการส่งฐานจอดอากาศยานขนาดใหญ่ลำใหม่ล่าสุดเข้าประจำการในโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น ยูเอสเอส มิเกล คีธ เรือฐานเคลื่อนที่ซึ่งออกแบบมาเพื่อลำเลียงอาวุธยุทโธปกรณ์ปริมาณมากและทำหน้าที่ในฐานะเป็นฐานลอยน้ำสำหรับฝูงบินเฮลิคอปเตอร์และเรือสะเทินน้ำสะเทินบก ถูกส่งเข้าประจำการที่ฐานทัพเรือไวท์บีช บนเกาะโอกินาวา ของญี่ปุ่น เมื่อวันศุกร์ (8 ต.ค.) ที่ผ่านมา จากคำแถลงของกองทัพเรือสหรัฐฯ ถ้อยแถลงของกองทัพเรือสหรัฐฯ ระบุว่าเรือลำนี้จะเข้าปฏิบัติภารกิจร่วมกับกองเรือโจมตีเคลื่อนที่เร็วและกองกำลังนาวิกโยธินของกองเรือที่ 7 แห่งสหรัฐฯ เรือยูเอสเอส มิเกล คีธ เป็นเรือชั้นลูอิส บี พูลเลอร์ ความยาว 240 เมตร และสามารถมอบการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์แก่ปฏิบัติการทางเรือต่างๆ การประจำการครั้งนี้มีขึ้นในขณะที่กองทัพเรือของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดีย เริ่มการซ้อมรบร่วมภายใต้กรอบการทำงานของ Quad ในวันอังคาร (12 ต.ค.)     การซ้อมรบ “มาลาบาร์” 3 วัน ตั้งแต่วันอังคาร (12 ต.ค.) จนถึงวันพฤหัสบดี (14 ต.ค.) ในอ่าวเบงกอล…

เกาหลีเหนือกล่าวหาว่าญี่ปุ่นใช้ภัยทางไซเบอร์เป็นข้ออ้างในการขยายอิทธิพล

Loading

  สำนักข่าว KCNA ของรัฐบาลเกาหลีเหนือได้เผยแพร่คำวิจารณ์ของคิมซอลฮวา (Kim Sol Hwa) นักวิจัยจากสถาบันญี่ปุ่นศึกษา แห่งกระทรวงการต่างประเทศของเกาหลีเหนือ ที่ระบุว่ายุทธศาสตร์ไซเบอร์ฉบับใหม่ของญี่ปุ่นที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติเมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมามีเนื้อหาใส่ร้ายเกาหลีเหนือ และเป็นเสมือนแผนการรุกรานอย่างโจ่งแจ้ง เนื่องจากยุทธศาสตร์ฯ ฉบับดังกล่าวกำหนดให้เกาหลีเหนือ จีน และรัสเซียเป็นประเทศที่เป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ ฉะนั้นจึงถือว่ากระทบต่อความสันติสุขและเสถียรภาพของภูมิภาค เขาอ้างว่าญี่ปุ่นซึ่งเป็น ‘รัฐอาชญากร’ หวังใช้ภัยคุกคามไซเบอร์จากประเทศเพื่อนบ้านที่อุปโลกน์ขึ้นมาเองเป็นเหตุในการพัฒนาขีดความสามารถทางไซเบอร์ในด้านการทหาร คิมซอลฮวายังอ้างว่าการปล่อยดาวเทียมและการทดสอบขีปนาวุธที่ผ่านมาของเกาหลีเหนือนั้นเป็นไปอย่างสันติและทำไปเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งด้านการทหาร แต่ญี่ปุ่นกลับเอาไปใช้เป็นข้ออ้างในการเสริมกำลังรบและมาตรการอื่น ๆ เพื่อขยายอิทธิพล “ญี่ปุ่นควรดำเนินการอย่างระมัดระวัง อย่าได้หวังใช้ลูกไม้อ้างความชอบธรรมในการรุกรานเหมือนในอดีต หากญี่ปุ่นไม่เรียนรู้ประวัติศาสตร์ และหวังจะมารุกรานอีกครั้งหนึ่ง ก็จะเป็นเหมืิอนแมงเม่าบินเข้ากองเพลิงเป็นแน่” คิมซอลฮวาระบุทิ้งท้าย โดยอ้างอิงการรุกรานของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่มา KCNA Watch   ————————————————————————————————————————————————- ที่มา : Beartai      / วันที่เผยแพร่  10 ต.ค.2564 Link : https://www.beartai.com/news/itnews/810366

อีกมุมมอง “ต่างชาติซื้อบ้าน” ได้ กรณีศึกษาแนวทาง-ข้อกังวล

Loading

  จากกรณีวาระร้อนช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กับการปลดล็อกเงื่อนไขการลงทุนที่หวังกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการเปิดทางให้ต่างชาติซื้อบ้านและที่ดินในไทยได้ นำไปสู่ข้อครหา “ขายชาติ!” ที่หลายฝ่ายยังถกเถียงว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่? ในบริบทที่ว่านี้ ผู้เขียนจึงขอพา “คุณผู้อ่านไทยรัฐออนไลน์” มาลองมองอีกมุมมองจากประเทศอื่นๆ เช่น “ญี่ปุ่น” กันดูว่า “ทำไมเขาถึงกล้าให้คนชาติอื่นเข้ามาจับจองซื้ออสังหาริมทรัพย์ในบ้านตัวเอง โดยไม่สนคำครหาเช่นเดียวกับไทยนี้บ้าง?” ผ่าน “กรณีศึกษา” แนวทางและวิธีการที่เป็นไปได้ แต่ก่อนอื่นนั้น… ต้องมาย้อนดูมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กันยายน 2564 อีกครั้ง เพื่อไล่เรียงทีละข้อว่า รายละเอียดที่ถูกพูดถึงกันมาก และกลายเป็นคำกล่าวหา “ขายชาติ” มีเช่นไรบ้าง? การเปิดทางให้ “ต่างชาติซื้อบ้าน” ในไทยได้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน เพื่อหวังดึงดูดชาวต่างชาติที่มี “ศักยภาพสูง” ซึ่งเป็นข้อเสนอของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่มีทั้งหมด 7 ข้อด้วยกัน และที่ว่านี้ก็อยู่ในข้อที่ 2 โดยระบุว่า “มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวใหม่ รวมทั้งข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ (1)…

โฆษก กต. เผยกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นเตือนพลเมืองที่อยู่ในภูมิภาคอาเซียน เกี่ยวกับเหตุก่อการร้าย

Loading

นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ   กระทรวงการต่างประเทศของไทยยอมรับว่า ทางการญี่ปุ่นได้ส่งอีเมลแจ้งคนญี่ปุ่นที่อยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งไทยให้ระมัดระวังอาจมีการก่อการร้ายจริง นายธานี แสงรัตน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ เปิดเผยต่อสื่อมวลชนกรณีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นแจ้งคนญี่ปุ่นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ระมัดระวังอาจมีการก่อการร้ายนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ตรวจสอบเบื้องต้นกับสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยแล้ว พบว่า 1. เป็นการส่งอีเมลนี้ไปยังคนญี่ปุ่นในไทย เป็นคำสั่งที่ได้รับมาจากกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นก็ไม่ได้ระบุที่มาของข้อมูล และสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นไม่ได้ทราบข้อมูลที่มากไปกว่านี้ 2. กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่นสั่งการให้ส่งข้อมูลเหล่านี้ไปยังคนญี่ปุ่นที่อยู่ในภูมิภาคแถบนี้ ไม่ใช่เฉพาะไทย   นอกจากอีเมลแล้ว บนเว็บไซต์ทางการของญี่ปุ่น www.anzen.mofa.go.jp ยังแจ้งเตือนพลเมืองญี่ปุ่นในไทยด้วย   บีบีซีไทยได้สอบถามไปยังสำนักข่าวสารญี่ปุ่น สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยเมื่อช่วงเช้าวันนี้ (13 ก.ย.) ได้รับคำอธิบายในทิศทางเดียวกันกับคำชี้แจงของโฆษกกระทรวงต่างประเทศของไทยว่า คำเตือนดังกล่าวมาจากกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น และระบุว่าข้อความดังกล่าวเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่น เพราะต้องการสื่อสารเฉพาะกลุ่มชาวญี่ปุ่นในต่างประเทศ ทั้งนี้ คำเตือนทั้งบนเว็บไซต์ของกระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่นและเนื้อหาในอีเมลที่ส่งมาให้กับพลเมืองญี่ปุ่นในไทยลงวันที่เดียวกันคือ 12 ก.ย. เวลาประมาณ 17.00 น. โดยมีเนื้อหาสำคัญคือ พบว่ามีข้อมูลที่เป็นไปได้ที่จะเกิดการโจมตีก่อการร้ายด้วยระเบิดฆ่าตัวตายในหลายพื้นที่ที่มีผู้ชุมนุมกัน เช่น ศาสนาสถาน เป็นต้น จึงเรียกร้องให้พลเมืองญี่ปุ่นพึงระวังตัวให้เต็มที่ สำหรับเนื้อหาของอีเมลแจงดังกล่าวได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์และได้รับความสนใจของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือเพจ “Drama Addict” ซึ่งมีผู้ติดตามเป็นจำนวนมากกว่า 2.8 ล้านคน…