ความตึงเครียดในตะวันออกกลางปะทุขึ้นอีกครั้ง เมื่อรัฐสภาอิหร่านลงมติอนุมัติร่างมาตรการปิด “ช่องแคบฮอร์มุซ” เส้นทางยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อการขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติของโลก ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากเส้นทางนี้ถึงหนึ่งในสามของความต้องการทั้งหมด
ไทยในเงามืดของวิกฤติพลังงาน
ช่องแคบฮอร์มุซเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก โดยมีน้ำมันมากกว่า 20% ของปริมาณการค้าทางทะเลทั้งหมดไหลผ่านเส้นทางนี้ หากถูกปิดจริง ไทยจะเผชิญกับต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นทันที ทั้งในรูปของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและค่าไฟฟ้า ซึ่งจะกระทบต่อประชาชนและภาคอุตสาหกรรมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แม้ประเทศไทยจะมีเครื่องมือรับมือระยะสั้น เช่น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง น้ำมันสำรองที่ใช้ได้ราว 60 วัน และการลดภาษีสรรพสามิต แต่สิ่งเหล่านี้ก็เปรียบเป็นเพียง “ยาแก้ปวด” ไม่ใช่ “ยารักษาโรค”
3 มาตรการบรรเทาผลกระทบ
“ดร.อารีพร อัศวินพงศ์พันธ์” นักวิชาการนโยบายพลังงาน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI : ทีดีอาร์ไอ) เสนอว่า ไทยควรใช้ 3 มาตรการนี้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบสูงขึ้น ได้แก่
1. กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง หรือ กบน. ที่ใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเข้ามาอุดหนุนให้ราคาน้ำมันในประเทศให้ไม่พุ่งสูงมากนัก ซึ่งสถานการณ์ช่องแคบฮอร์มุซ ถือว่าเป็นการใช้เงินจากมาตรการกองทุนน้ำมันอย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาน้ำมันเมื่อเกิดวิกฤติ
2. การที่ไทยน้ำมันสำรองในประเทศซึ่งสามารถใช้ได้ 60 วัน อาจจะใช้น้ำมันสำรองตรงนี้เข้ามาช่วยได้ หากข้อขัดแย้งนี้ไม่ได้ยืดเยื้อนาน การใช้น้ำมันสํารองจะสามารถเข้ามาช่วยรักษาเสถียรภาพของราคาได้
3. มาตรการสุดท้าย คือ การใช้มาตรการภาษีสรรพสามิตเข้ามาช่วย หากราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้น กบน.อาจจะต้องขอความร่วมมือจากกระทรวงการคลังในการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันลง
ช่องแคบฮอร์มุซปิด ส่งสัญญาณไทยต้องจริงจัง สร้างพลังงานทางเลือกให้มั่นคง
ไทยพร้อมใช้พึ่งพาพลังงานสะอาดเต็มที่หรือไม่?
“ดร.อารีพร” มองว่า ไทยนำเข้าก๊าซ LNG จากตะวันออกกลางค่อนข้างมาก ดังนั้นควรหาแนวทางในการลดการพึ่งพาก๊าซ LNG มากขึ้น เช่น การสนับสนุนพลังงานสะอาดในประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้ไทยมีความมั่นคงทางพลังงาน แต่พลังงานสะอาดอาจจะยังไม่ตอบโจทย์เรื่องเสถียรภาพของไฟฟ้า เพราะมีความไม่แน่นอน
ดังนั้น สิ่งที่จะต้องดำเนินการควบคู่กันไปคือการลงทุน กับเทคโนโลยีพลังงานสะอาด เช่น การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน ระบบสมาร์ทกริด หรือระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ และการตอบสนองระบบความต้องการการใช้ไฟฟ้า ซึ่ง 3 สิ่งนี้เป็นสิ่งที่รัฐบาควรเร่งลงทุนเพื่อให้ไทยมีเสถียรภาพพลังงานในประเทศมากขึ้น
สร้างสมดุลพลังงาน 3 มิติ
ดร.อารีพร ได้เสนอแนะต่อภาคนโยบายว่า วิกฤตพลังงานที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการสร้างสมดุลพลังงานในสามมิติ ได้แก่ ความมั่นคง ความมั่งคั่ง และความยั่งยืน ซึ่งภาครัฐควรให้ความสำคัญอย่างจริงจังในการหาแนวทางบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน โดยไม่พึ่งพาเพียงกลไกของกองทุนน้ำมันเพียงอย่างเดียว
หนึ่งในข้อเสนอคือการพิจารณาจัดตั้ง คลังสำรองน้ำมันเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการรองรับวิกฤต และสามารถพยุงราคาน้ำมันได้ในระยะยาวหากเกิดเหตุฉุกเฉินในอนาคต
“ดิฉันขอเสนอให้ภาครัฐมีการวางแผนระยะยาวอย่างจริงจัง เพราะปัจจัยเสี่ยงจากทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์และภัยพิบัติจากสภาพภูมิอากาศสุดขั้วกำลังเกิดขึ้นถี่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสงคราม ความขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือเหตุการณ์ไฟดับขนาดใหญ่ในยุโรปที่ผ่านมา ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อระบบพลังงาน ดังนั้น ประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มความสามารถในการพึ่งพาตนเอง และเสริมสร้างความยืดหยุ่นของระบบพลังงานให้มากกว่านี้” ดร.อารีพรกล่าว
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 24 มิถุนายน 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/environment/1186392