ความขัดแย้งระหว่าง อิสราเอล-อิหร่าน มีอิทธิพลต่อภูมิภาคตะวันออกกลางมาหลายทศวรรษแล้ว แต่ความขัดแย้งส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในระดับที่ไม่รุนแรงมาก เพื่อหลีกเลี่ยงการก่อสงครามแบบเต็มตัว
แต่การสู้รบระหว่างสองฝ่ายได้ทวีความรุนแรงขึ้นหลังจากสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสของปาเลสไตน์ซึ่งมีอิหร่านคอยหนุนหลัง ปะทุขึ้นในเดือนตุลาคม 2023 ตั้งแต่นั้นมา ทั้งสองประเทศได้เริ่มยิงตอบโต้กันเป็นครั้งคราวโดยใช้ขีปนาวุธและโดรน
ขณะนี้มีความมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจเกิดการเริ่มทำสงครามอย่างจริงจัง หลังจากหลายฝ่ายเริ่มกลับไปให้ความสนใจกับศักยภาพด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน โดยอิสราเอลมีความเชื่อว่าศักยภาพในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นภัยคุกคามต่อความเป็นอยู่ของอิสราเอล ขณะที่สหรัฐพยายามใช้การทูตยับยั้งโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน และการทำข้อตกลงใหม่กลับเปิดให้เตหะรานยังคงเสริมสมรรถนะยูเรเนียมต่อไปบางส่วน ส่งผลให้อิสราเอลมีโอกาสเข้าแทรกแซงทางทหารมากขึ้น
ทำไม ‘อิสราเอล-อิหร่าน’ เป็นศัตรูกัน
อิสราเอลและอิหร่านเคยเป็นพันธมิตรกันในช่วงทศวรรษ 1950 เป็นต้นไป ในรัชสมัยของ ชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี กษัตริย์องค์สุดท้ายของอิหร่าน แต่มิตรภาพนั้นสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันเนื่องจากการปฏิวัติอิสลามในอิหร่านในปี 1979
กลุ่มผู้นำใหม่ของอิหร่านเรียกร้องให้ทำลายอิสราเอล โดยกล่าวหารัฐอิสราเอลว่าเป็นมหาอำนาจจักรวรรดินิยมในตะวันออกกลาง หลังจากนั้น อิหร่านให้การสนับสนุนกลุ่มที่ต่อสู้กับอิสราเอล โดยเฉพาะกลุ่มฮามาส ฮิซบอลเลาะห์ และกลุ่มกบฏฮูตี ซึ่งล้วนเป็นกลุ่มที่สหรัฐจัดว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย
อิสราเอลมองว่าความเป็นไปได้ที่อิหร่านจะมีอาวุธนิวเคลียร์เป็นความเสี่ยงต่อความเป็นอยู่ของอิสราเอล ทางการอิสราเอลได้กล่าวเป็นนัยหลายครั้งว่า กองทัพอิสราเอลจะโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านโดยใช้กำลังทางอากาศหากอิหร่านถึงจุดที่มีศักยภาพทางอาวุธมากพอ เช่นเดียวกับที่อิสราเอลเคยโจมตีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในอิรักเมื่อปี 1981 และโรงงานนิวเคลียร์ในซีเรียเมื่อปี 2007
‘อิสราเอล-อิหร่าน’ เคยโจมตีกันโดยตรงอย่างไรบ้าง
ทั้งสองฝ่ายเริ่มโจมตีกันโดยตรงในเดือนเม.ย. ปี 2024 หลังจากอิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอลโดยใช้ขีปนาวุธและโดรนจำนวนมาก ซึ่งเป็นการตอบโต้การโจมตีอาคารสถานทูตของอิหร่านในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย โดยหลายฝ่ายเชื่อว่าการโจมตีครั้งนั้นเป็นฝีมือของอิสราเอล แต่อิสราเอลยังคงออกมาปฏิเสธ
แม้ว่าการโจมตีของอิหร่านจะสร้างความเสียหายเพียงเล็กน้อยและอิสราเอลได้โจมตีตอบโต้อย่างจำกัด แต่การเปิดฉากต่อสู้โดยตรงทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศเข้าสู่ระยะที่เริ่มอันตราย ซึ่งยกระดับสู่การต่อสู้โดยตรงและเปิดเผย
อิสราเอลยังได้ลอบสังหารอิสมาอิล ฮานิเยห์ ผู้นำทางการเมืองของกลุ่มฮามาส ในใจกลางเมืองหลวงของอิหร่านในเดือนก.ค.ของปีเดียวกัน ทำให้ทั้งสองฝ่ายกลับมาโจมตีกันด้วยขีปนาวุธและการโจมตีทางอากาศอีกครั้งในเดือน ต.ค. 2024
เทียบศักยภาพทางหารของ ‘อิสราเอล-อิหร่าน’
กองทัพอิสราเอล มีข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีมากกว่าอิหร่าน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้รับการสนับสนุนทั้งทางทหารและทางการเงินจากสหรัฐ ปัจจุบัน อิสราเอลเป็นรัฐเดียวในตะวันออกกลางที่ซื้อเครื่องบินรบสเตลท์ F-35 ของบริษัทล็อกฮีด มาร์ตินได้ ซึ่งเป็นอาวุธที่มีราคาสูงมาก นอกจากนี้ ยังเป็นที่เชื่อกันอย่างกว้างขวางว่าอิสราเอลมีอาวุธนิวเคลียร์เช่นกัน แต่ทางการยังไม่มีการออกมาปฏิเสธหรือยืนยันแต่อย่างใด
ในขณะเดียวกัน อิหร่านถูกสงสัยมานานแล้วว่า อาจมีเป้าหมายที่จะใช้โครงการพลังงานนิวเคลียร์ในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทางการอิหร่านได้ออกมาปฏิเสธแล้วหลายครั้ง
ปริมาณสำรองยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะสูงของประเทศกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอาจทำให้มียูเรเนียมในระดับ 90% อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นระดับที่สามารถนำมาผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้ หากผู้นำอิหร่านเลือกทำเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม อิหร่านต้องมีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนเชื้อเพลิงเป็นอาวุธอย่างมาก เพื่อสร้างอาวุธที่สามารถโจมตีเป้าหมายในระยะไกลได้ เช่น อิสราเอล
แต่การคว่ำบาตรและการโดเดี่ยวทางการเมืองต่ออิหร่าน ทำให้อิหร่านไม่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีทางทหารของต่างชาติได้ ผลักดันให้อิหร่านต้องพัฒนาอาวุธด้วยตนเอง ซึ่งเครื่องบินรบส่วนใหญ่ของอิหร่านเป็นรุ่นเก่าที่ใช้ตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติในปี 1979
อิหร่านหวังจะพัฒนาขีดความสามารถทางทหารด้วยการเพิ่มความร่วมมือกับรัสเซีย โดยการตกลงซื้อเครื่องบินรบ Sukhoi Su-35 แต่ยังไม่แน่ชัดว่าเครื่องบินเหล่านั้นจัดส่งหรือยัง
แม้ว่าอิหร่านจะเสียเปรียบทางเทคโนโลยี แต่ก็มีขีปนาวุธพิสัยไกลและขีปนาวุธร่อนในการครอบครองจำนวนมาก รวมถึงยานไร้คนขับ หรือโดรน ที่ใช่ต่อสู้กับอิสราเอลเมื่อปี 2024
การโจมตีที่ผ่านมา ทำให้อิหร่านเรียนรู้ว่าการโจมตีทะลุระบบป้องกันภัยทางอากาศที่สำคัญของอิสราเอลเป็นเรื่องที่ความท้าทาย อย่างแรกต้องผ่านเครื่องบินรบอิสราเอลให้ได้ก่อน ต่อมาจะเจอกับระบบป้องกันภัยทางอากาศ Arrow และ David’s Sling ของอิสราเอล ที่ร่วมกับกองทัพสหรัฐ และพันธมิตรอื่นๆ ในภูมิภาค ที่สามารถสกัดกั้นโดรนและขีปนาวุธได้มากกว่า 300 ลูกที่อิหร่านเคยยิงโจมตีเมื่อเดือนเมษายน 2024 ซึ่งตามข้อมูลของกองทัพอิสราเอลถือว่าระบบป้องกันได้ 99%
ขณะที่อาวุธป้องกันตนเองของอิหร่านมีระบบขีปนาวุธภาคพื้นสู่อากาศ มีเครื่องยิงขีปนาวุธ S-300 ที่ใช้โจมตีอากาศยานและขีปนาวุธร่อน และมีระบบต่อต้านขีปนาวุธอาร์มานที่ผลิตในประเทศ แต่อาวุธเหล่านี้ไม่ได้ผ่านการทดสอบการรบอย่างเข้มข้นเท่ากับระบบป้องกันของอิสราเอล ซึ่งแสดงให้เห็นว่าอิหร่านถนัดสงครามแบบไม่สมดุล ซึ่งจะสามารถแสดงศักยภาพออกมาได้มากกว่าการสู้แบบเผชิญหน้าตรงๆ
อย่างไรก็ดี ทั้งสองฝ่ายต่างมีศักยภาพในการทำสงครามไซเบอร์ เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว มัลแวร์ที่รู้จักกันในชื่อ Stuxnet ได้เข้าโจมตีการปฏิบัติการของโรงงานเสริมสมรรถนะนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งคาดว่าเป็นฝีมือของสหรัฐและอิสราเอล
ขณะที่การประเมินของหน่วยข่าวกรองกลาโหมสหรัฐที่เผยแพร่เมื่อปีที่แล้ว แสดงให้เห็นว่า อิหร่านสามารถปฏิบัติการไซเบอร์ได้หลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การจัดการข้อมูล ไปจนถึงการโจมตีทำลายล้างเครือข่ายรัฐบาลและการค้าทั่วโลก ซึ่งอิหร่านเคยปฏิบัติการโจมตีทางไซเบอร์หลายครั้ง เช่น การแฮ็กที่พยายามทำลายคอมพิวเตอร์และการไหลของน้ำพื้นที่ 2 เขตของอิสราเอล
อิสราเอลสามารถโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านได้ง่ายแค่ไหน
การโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านเป็นทางเลือกที่สุดโต่งและเป็นไปได้ยากที่จะประสบความสำเร็จ เนื่องจากฐานโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านอยู่หลายที่และกระจายอยู่ทั่วประเทศ ขณะที่ทรัพย์สินส่วนที่สำคัญที่สุดเคลื่อนย้ายไปใต้ดินแล้ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาเพื่อให้พ้นจากภัยอันตราย
แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่สามารถยับยั้งปฏิบัติการก่อวินาศกรรมของอิสราเอลได้ หลายคนเชื่อว่าอิสราเอลอยู่เบื้องหลังการลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ชาวอิหร่าน 5 คนในเตหะรานตั้งแต่ปี 2010 และในปี 2021 อิหร่านก็ได้กล่าวหาอิสราเอลว่าเป็นผู้ก่อเหตุระเบิดที่โรงงานเสริมสมรรถนะสำคัญแห่งหนึ่งอีกด้วย
ทางด้านอิสราเอลยืนยันว่า ได้ทำลายระบบป้องกันภัยทางอากาศส่วนใหญ่ และขีดสามารถในการผลิตขีปนาวุธไปแล้วในการสู้รบเมื่อเดือน ต.ค. 2024
ฃอย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ข่าวกรองเตือนว่า การโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านจะส่งผลให้การผลิตอาวุธล่าช้าลงเท่านั้น ไม่ใช่ทำลายความสามารถในการรวบรวมเทคโนโลยีที่จำเป็นในการผลิตอาวุธนิวเคลียร์ ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีจะมีความซับซ้อนขึ้นไปอีกเนื่องจากเครื่องบินรบที่ทันสมัยที่สุดของอิสราเอลจำเป็นต้องเติมเชื้อเพลงระหว่างบิน เพื่อโจมตีอิหร่านและเพื่อกลับไปอย่างปลอดภัย
เจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงที่รับผิดชอบในการปกป้องโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านกล่าวเมื่อเดือนเม.ย. ปี 2024 ว่า อิหร่านจะตอบโต้ในลักษณะเดียวกันหากอิสราเอลโจมตีทรัพย์สินของอิหร่าน และกล่าวเป็นนัยว่า เพียงแค่การขู่ว่าจะทำเช่นนั้นก็อาจผลักดันให้อิหร่านเริ่มพิจารณานโยบายโครงการนิวเคลียร์เพื่อสันติอีกครั้ง
พันธมิตรของทั้งสองฝ่ายมีใครบ้าง
พันธมิตรที่สำคัญที่สุดของอิหร่านคือกองกำลังชีอะห์ในเลบานอน เยเมน และอิรัก ซึ่งอิหร่านให้การสนับสนุนด้วยเงิน อาวุธ และการฝึก ฮิซบอลเลาะห์ กองกำลังติดอาวุธในเลบานอน เป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด แต่การขัดแย้งกับอิสราเอลตั้งแต่เริ่มสงครามกาซา บวกกับการรุนรานเลบานอนของอิสราเอล ทำให้กองกำลังอ่อนแอลงอย่างมาก นอกจากนี้ เตหะรานยังสูญเสียพันธมิตรเพียงรายเดียวในตะวันออกกลางอย่างซีเรียไปอีกด้วย เนื่องจากประธานาธิบดีบาชาร์ อัลอัสซาดสูญเสียอำนาจในเดือน ธ.ค. ปี 2024
นอกจากนี้ กบฏฮูตีในเยเมนก็มีความกระตือรือร้นที่จะมีส่วนร่วมในสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่านอย่างมาก โดยเริ่มยิงขีปนาวุธและโดรนใส่อิสราเอลตั้งแต่เริ่มสงครามอิสราเอล-ฮามาส รวมถึงโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงอีกด้วย ในเดือน ก.ค. 2024 การโจมตีด้วยโดรนของฮูตีใจกลางเมืองเทลอาวีฟทำให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และบาดเจ็บอีกมากมาย ถือเป็นการโจมตีด้วยโดรนที่นองเลือดที่สุดครั้งแรกในดินแดนอิสราเอล
หลังจากนั้นต้นเดือนพ.ค. 2025 ฮูตีก็ได้ยิงขีปนาวุธโจมตีใกล้กับสนามบินหลักของอิสราเอล ทำให้สายการบินต่างชาติจำนวนมากต้องระงับเที่ยวบินเข้าและออก
นอกจากนี้ อิสราเอลยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับรัสเซีย แต่ด้วยการทำสงครามกับยูเครนอาจทำให้รัสเซียไม่สามารถสนับสนุนความขัดแย้งในตะวันออกกลางได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม อิหร่านยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับจีน ซึ่งจีนเป็นผู้ซื้อน้ำมันจากอิหร่าน แม้สหรัฐและพันธมิตรยังคงคว่ำบาตรน้ำมันอิหร่าน
ส่วนอิสราเอลก็ยังคงมีสหรัฐและสหราชอาณาจักรคอยสนับสนุนอยู่ โดยกองทัพจากทั้งสองประเทศได้ทำลายขีปนาวุธและโดรนบางส่วนที่อิหร่านยิงใส่อิสราเอลในปี 2024 และกองทัพสหรัฐประกาศมาตรการเสริมกองกำลังในตะวันออกกลาง โดยการเพิ่มเรือ เครื่องบินรบ และเรือป้องกันขีปนาวุธ
ชาติอาหรับจะคิดเห็นอย่างไรกับสงคราม ‘อิหร่าน-อิสราเอล’
หลายประเทศในภูมิภาคจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เนื่องจากประเทศอาหรับในอ่าวเปอร์เซียทั้ง 4 ประเทศเคยทำข้อตกลงสันติภาพกับอิสราเอลในปี 2020 (ข้อตกลงอับราฮัม) ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่ไว้วางใจอิหร่าน แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้ยังคงพยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกลุ่มเตหะรานอยู่ เพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของตน และหลังจากที่สหรัฐ ซึ่งเป็นรับประกันความมั่นคงในภูมิภาคมายาวนานได้ถอนตัวออกจากภูมิภาคไป ส่วนการเจรจาเกี่ยวกับโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านกับสหรัฐในครั้งนี้ แตกต่างจากการเจรจาครั้งก่อนๆ ซึ่งครั้งนี้สหรัฐสนับสนุนการทูตอย่างเปิดเผย
อิหร่านและซาอุดีอาระเบียยังได้กลับมาฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2023 หลังจากหยุดชะงักไป 7 ปี แต่ซาอุดีอาระเบียเองก็ได้พิจารณาฟื้นสัมพันธ์กับอิสราเอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ทำกับสหรัฐ ที่หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือด้านความปลอดภัยจากสหรัฐ ทำให้มีโอกาสสูงมากที่ซาอุดีอาระเบียอาจพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้ง ‘อิหร่าน-อิสราเอล’ ครั้งนี้
สำหรับชาติอาหรับไม่น่ามีความเป็นไปได้ที่จะเข้าข้างอิสราเอล เพื่อเผชิญหน้าอย่างเปิดเผยกับประเทศมุสลิมด้วยกันเองอย่าง โดยเฉพาะประเทศที่มีอำนาจอย่างอิหร่าน อย่างไรก็ตาม การโจมตีอิหร่านของอิสราเอลอาจจะต้องการเพียงแค่คำอนุญาตให้เครื่องบินอิสราเอลบินผ่านน่านฟ้าชาติอาหรับก็เป็นได้
อ้างอิง: Bloomberg
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 13 มิถุนายน 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/world/1184734