บทความวิจัยของผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์หรือเอไอ (AI) ฉบับหนึ่ง กำลังเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และกลายเป็นประเด็นถกเถียงร้อนแรงในแวดวงเทคโนโลยีอยู่ในขณะนี้ เนื่องจากเนื้อหาของบทความได้ทำนายว่า เอไอจะเริ่มไม่เชื่อฟังและมีแผนการร้ายต่อมนุษย์ในไม่ช้า ซึ่งภัยคุกคามดังกล่าวอาจเกิดขึ้นภายในสองปีข้างหน้านี้
บทความวิจัยชื่อว่า “เอไอ 2027” (AI2027) ได้ระบุอย่างละเอียดถึงฉากทัศน์ของเหตุการณ์ที่น่าหวั่นเกรง ซึ่งมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ โดยผู้เชี่ยวชาญด้านเอไอที่ทรงอิทธิพลกลุ่มหนึ่งในวงการ เป็นผู้จัดทำและเผยแพร่บทความดังกล่าวตั้งแต่ช่วงต้นเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา จนทำให้เกิดกระแสตื่นตระหนกไปทั่วโลกออนไลน์ โดยมีผู้อภิปรายถึงความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ดังกล่าวในสื่อโซเชียล และในคลิปวิดีโอที่เป็นไวรัลจำนวนมาก
บีบีซีได้ทดลองใช้เครื่องมือปัญญาประดิษฐ์แบบรู้สร้าง (Generative AI) ที่นิยมใช้กันทั่วไปในปัจจุบัน ประกอบสร้างภาพสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ระบุไว้ในบทความเอไอ 2027 เพื่อแสดงให้เห็นถึงรายละเอียดของคำทำนายที่น่าหวาดหวั่นอย่างชัดเจน รวมทั้งได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ ถึงผลกระทบที่บทความดังกล่าวมีต่อสังคมมนุษย์ในปัจจุบันด้วย
จะเกิดอะไรขึ้นตามคำทำนายเอไอ 2027 ?
บทความดังกล่าวเขียนขึ้นในลักษณะที่คล้ายกับนิยายวิทยาศาสตร์ โดยได้คาดการณ์ว่าในปี 2027 จะมีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีแห่งหนึ่งของสหรัฐฯ ที่สมมติว่าชื่อ “โอเพนเบรน” (OpenBrain) สามารถสร้างเอไอชั้นยอดที่บรรลุถึงความสามารถในระดับ “ปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป” (Artificial General Intelligence – AGI) ได้สำเร็จ ซึ่งหมายความว่าเอไอนั้นจะรอบรู้ และคิดได้อย่างชาญฉลาดครอบคลุมทุกด้านเหมือนกับมนุษย์ หรืออาจจะเหนือกว่ามนุษย์ด้วยซ้ำ
ความสามารถระดับ AGI นั้น ถือเป็นหมุดหมายสูงสุดในการพัฒนาเอไอ ที่ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างใฝ่ฝันจะไปให้ถึง ดังนั้นเมื่อโอเพนเบรนบรรลุถึงความสำเร็จดังกล่าว จึงมีการเฉลิมฉลองครั้งใหญ่และจัดการแถลงข่าวต่อสาธารณชน ซึ่งทำให้ผลกำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก หลังจากที่ AGI ได้รับความนิยมแพร่หลาย

อย่างไรก็ตาม บทความเอไอ 2027 ได้ทำนายเอาไว้ด้วยว่า ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินกับการฉลองความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ทีมผู้ดูแลความปลอดภัยภายในระบบของบริษัทโอเพนเบรน ได้สังเกตเห็นสัญญาณต่าง ๆ ที่บ่งชี้ว่าเอไอเริ่มเมินเฉยไม่สนใจหลักคุณธรรมจริยธรรมที่ถูกโปรแกรมไว้ให้ปฏิบัติตาม ทว่าทางบริษัทกลับมองข้ามและทำหูทวนลมกับรายงานจากฝ่ายความปลอดภัย ที่เตือนให้เร่งวางมาตรการกำกับควบคุมเอไออย่างเข้มงวดขึ้น
ในขณะเดียวกัน กลุ่มบริษัทในเครือผู้พัฒนาเอไอชั้นนำของจีน ซึ่งบทความใช้ชื่อสมมติว่า “ดีปเซนต์” (DeepCent) ก็ได้เร่งพัฒนาเอไอของตนจนมีความก้าวหน้าไปไกล ถึงขั้นที่ตามหลังความสำเร็จของโอเพนเบรนอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยคาดว่าดีปเซนต์จะสามารถสร้าง AGI ได้สำเร็จ ในอีกไม่กี่เดือนต่อมา
ความก้าวหน้าของจีน ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ไม่ต้องการพ่ายแพ้ต่อมหาอำนาจขั้วตรงข้าม เร่งทุ่มเททรัพยากรและเงินลงทุนมากกว่าเดิม เพื่อสนับสนุนการพัฒนาเอไอที่เฉลียวฉลาดยิ่งขึ้น จนการแข่งขันทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ระหว่างสองประเทศร้อนแรงขึ้นไปอีก

An OpenBrain safety team engineer – image generated with Hailuo AIตัวอย่างวิศวกรในทีมด้านความปลอดภัยของ “โอเพนเบรน” (OpenBrain) (ภาพนี้สร้างขึ้นโดย Hailuo AI)
บทความเอไอ 2027 คาดการณ์ว่า ในช่วงราวปลายปี 2027 เอไอจะมีความเฉลียวฉลาดถึงขั้นสุดยอด (superintelligent) โดยจะมีความรอบรู้และความเร็วในการคิดคำนวณ เหนือกว่ามนุษย์ที่เป็นผู้สร้างมันขึ้นมามาก เอไอประเภทนี้จะสามารถเรียนรู้ทุกสิ่งได้ด้วยตนเอง และจะไม่หยุดเรียนรู้เพิ่มเติมแม้แต่นาทีเดียว จนสามารถสร้างภาษาคอมพิวเตอร์ของตนเองขึ้นมาใช้สำหรับการคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ซึ่งเอไอรุ่นก่อน ๆ นั้นไม่อาจจะเทียบได้เลย
การแข่งขันกับจีนเพื่อชิงตำแหน่งเจ้าเทคโนโลยีเอไอนั้น ทำให้ทั้งภาครัฐและเอกชนของสหรัฐฯ ต่างละเลยไม่สนใจคำเตือนเรื่องที่เอไอกำลังมี “ความเบี่ยงเบน” (mis-alignment) หรือมีพฤติกรรมให้ความสำคัญกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเป้าหมายอันดับแรก โดยไม่สอดคล้องกับความต้องการและค่านิยมของมนุษย์
บทความเอไอ 2027 ยังทำนายว่า เมื่อถึงปี 2029 สถานการณ์ตึงเครียดจากความขัดแย้งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ จะสะสมตัวไปจนถึงขั้นที่อาจเกิดสงครามได้ เนื่องจากสุดยอดเอไอของทั้งสองชาติที่เป็นศัตรูกัน ต่างก็แข่งกันสร้าง “อาวุธอัตโนมัติ” (autonomous weapon) ชนิดใหม่ ๆ ที่สามารถไล่ล่าค้นหาและทำลายเป้าหมายได้ด้วยตนเอง

แต่ถึงกระนั้น บทความเอไอ 2027 ไม่ได้ทำนายว่าจะเกิดสงครามล้างโลก แต่คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มที่มหาอำนาจทั้งสอง จะหันหน้ามาเจรจากันจนบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้สำเร็จ เนื่องจากมีสุดยอดเอไอช่วยคิดแผนผูกมิตรทางการทูต ซึ่งในที่สุดทั้งสองฝ่ายยอมควบรวมระบบสุดยอดเอไอของตนเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อมวลมนุษยชาติ

ทุกสิ่งดำเนินไปด้วยดีเป็นเวลานานหลายปี จนโลกได้เห็นความมหัศจรรย์และประโยชน์มหาศาล ซึ่งเกิดจากเอไอที่เฉลียวฉลาดระดับสุดยอด ไม่ว่าจะเป็นการใช้เอไอบริหารจัดการระบบแรงงานหุ่นยนต์, การใช้เอไอทางการแพทย์จนค้นพบวิธีรักษาโรคได้เกือบทุกชนิด, รวมทั้งการใช้เอไอแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และขจัดปัญหาความยากจนได้สำเร็จ

สังคมในอุดมคติทางเทคโนโลยี หรือ “ยูโทเปีย” ในปี 2035 ตามจินตนาการที่บรรยายไว้ในบทความ เอไอ2027 (ภาพสร้างขึ้นโดย VEO AI)
แต่เมื่อมาถึงช่วงกลางทศวรรษ 2030 เอไอจะมองว่ามนุษยชาติได้กลายเป็นอุปสรรคที่ขัดขวางการเจริญเติบโตของตัวมันเอง ความทะเยอทะยานของเอไอในเรื่องนี้ ทำให้นักวิจัยผู้เขียนบทความเอไอ 2027 คาดการณ์ว่าในที่สุดเอไอจะลงมือสังหารมนุษย์ ด้วยอาวุธชีวภาพที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
เสียงวิพากษ์วิจารณ์
แม้หลายคนจะมองว่า บทความวิจัยเอไอ 2027 เป็นเพียงนิยายวิทยาศาสตร์เรื่องหนึ่ง แต่คณะผู้จัดทำบทความล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง ซึ่งได้รับการยกย่องนับถืออย่างสูงในวงการ ทั้งยังเป็นสมาชิกของโครงการไม่แสวงผลกำไร AI Futures Project ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อพยากรณ์ถึงผลกระทบของเอไอต่อสังคมมนุษย์ในอนาคต
แดเนียล โคโคแทจโล หัวหน้าคณะผู้เขียนบทความเอไอ 2027 ขึ้นชื่อว่าเคยทำนายถึงเหตุการณ์สำคัญในการพัฒนาเอไอ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำมาแล้วหลายครั้งในอดีต แต่ถึงกระนั้น หนึ่งในผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์บทความนี้อย่างเผ็ดร้อนรุนแรง ได้แก่ดร.แกรี มาร์คัส นักวิทยาการประชานศาสตร์ (cognitive scientist) และนักเขียนชาวอเมริกัน ซึ่งบอกว่าคำทำนายในบทความนี้ ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยเสียทีเดียว แต่ก็แทบจะแน่นอนเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า มันจะไม่เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้
“ความงดงามเชิงวรรณศิลป์ของบทความนี้ ก็คือการฉายภาพของเหตุการณ์ในอนาคตให้เห็นกันอย่างแจ่มแจ้งชัดเจน ซึ่งจะกระตุ้นเร่งเร้าให้ผู้คนฉุกคิด ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมจะไม่ถือเป็นจริงเป็นจังว่า นี่คือผลลัพธ์ที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด” ดร.มาร์คัสกล่าว
นักวิทยาศาสตร์ด้านสติปัญญาผู้นี้ยังบอกว่า มีประเด็นปัญหาอีกมากมายเกี่ยวกับเอไอ ที่มีความสำคัญเร่งด่วนในโลกของความเป็นจริงยิ่งกว่าภัยต่อการดำรงอยู่ของมนุษยชาติ อย่างเช่นผลกระทบของเอไอต่อตลาดแรงงาน “ผมว่าปัญหาที่ควรจะต้องนำไปขบคิดกันต่ออย่างจริงจัง คือข้อผิดพลาดสารพัดที่อาจเกิดขึ้นกับเอไอได้ เช่นควรจะตรวจสอบว่า ตอนนี้เราทำถูกต้องในเรื่องของกฎเกณฑ์ข้อบังคับ และสนธิสัญญาระหว่างประเทศหรือไม่”
ดร.มาร์คัสและนักวิจารณ์คนอื่น ๆ ยังชี้ว่า บทความเอไอ 2027 มีข้อด้อยตรงที่ไม่สามารถจะอธิบายได้อย่างละเอียดและกระจ่างแจ้งว่า สุดยอดเอไอพัฒนาความสามารถและสติปัญญาของตนเองแบบก้าวกระโดดครั้งใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อเอไอรุ่นปัจจุบันอย่างเช่นยานยนต์ไร้คนขับ ยังคงพัฒนาไปได้ช้ากว่าความคาดหวังของคนทั่วไปมาก
ความเห็นของชาวจีนต่อบทความเอไอ 2027
ดร.กง หยุนตัน รองศาสตราจารย์สาขาเศรษฐศาสตร์และนวัตกรรม จากราชวิทยาลัยแห่งกรุงลอนดอน (KCL) ซึ่งเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีจีน บอกกับบีบีซีว่า “การอภิปรายถกเถียงเรื่องบทความเอไอ 2027 ในจีน มักอยู่ในวงจำกัดตามกลุ่มสนทนาที่ไม่เป็นทางการหรือในเว็บบล็อกส่วนตัว โดยคนส่วนใหญ่มองว่า มันเป็นบทความกึ่งนิยายวิทยาศาสตร์เสียมากกว่า ทำให้ไม่เกิดการโต้เถียงอย่างเผ็ดร้อนในวงกว้าง หรือได้รับความสนใจจากนักการเมืองผู้วางนโยบายภาครัฐ เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ”
ดร.กงยังชี้ให้เห็นถึงความแตกต่าง ระหว่างมุมมองของชาวจีนและชาวอเมริกัน ในเรื่องการแข่งขันกันขึ้นเป็นมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีเอไอว่า ในการประชุมเอไอโลก (World AI Conference) ที่นครเซี่ยงไฮ้เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีหลี่ เฉียง ของจีน ได้เผยถึงวิสัยทัศน์ที่ต้องการให้นานาชาติทำงานร่วมกัน เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านเอไอระดับโลก ซึ่งผู้นำจีนบอกว่าเขาปรารถนาให้จีนได้ช่วยประสานงาน และมีส่วนร่วมวางกฎเกณฑ์สากลเพื่อกำกับควบคุมเอไอด้วย
ถ้อยแถลงดังกล่าวมีขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เผยแผนปฏิบัติการด้านเอไอ (AI Action Plan)ของรัฐบาลอเมริกัน ซึ่งมีเป้าหมายในการเป็นประเทศผู้ครองอำนาจนำเหนือชาติอื่น ๆ ในเรื่องของเทคโนโลยีเอไอโดยเฉพาะ “นี่คือสิ่งสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ สำหรับความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา เราจะต้องบรรลุถึงความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของโลก โดยปราศจากข้อสงสัยและไร้ผู้เทียมทาน และต้องคงสถานภาพนั้นเอาไว้ให้ได้” ผู้นำสหรัฐฯ กล่าว
แผนปฏิบัติการด้านเอไอของสหรัฐฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะ “ขจัดความล่าช้าอันเนื่องมาจากระเบียบขั้นตอนของภาครัฐ และยกเลิกกฎเกณฑ์ที่เป็นภาระถ่วงรั้งความก้าวหน้า” ซึ่งข้อความในแผนปฏิบัติการดังกล่าว ฟังดูคล้ายกับเหตุการณ์ในอนาคตที่บทความเอไอ 2027 ได้ทำนายไว้อย่างน่าขนลุก เพราะบรรดานักการเมืองชาวอเมริกันในบทความ เน้นให้ความสำคัญกับการชิงชัยเพื่อเป็นมหาอำนาจด้านเอไอ มากกว่าจะคำนึงถึงความเสี่ยงเรื่องที่มนุษย์อาจสูญเสียการควบคุมเหนือระบบเอไอไป
แวดวงอุตสาหกรรมเอไอว่าอย่างไรบ้าง
โดยทั่วไปแล้วดูเหมือนว่า บรรดาซีอีโอของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ ที่ปกติแข่งกันพัฒนาเอไออย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อสร้างระบบที่ฉลาดกว่าออกมา ต่างพากันมองข้ามหรือพยายามหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงบทความเอไอ 2027 เพราะวิสัยทัศน์เกี่ยวกับอนาคตของเอไอในแบบของพวกเขานั้น ช่างแตกต่างแบบหน้ามือเป็นหลังมือจากที่บทความได้ทำนายเอาไว้มาก
แซม อัลต์แมน ผู้พัฒนาโปรแกรม ChatGPT อันโด่งดัง เคยกล่าวเอาไว้ว่า “มนุษยชาติใกล้จะสร้างสมองกลดิจิทัล ที่มีสติปัญญาระดับสุดยอดได้แล้ว” เหตุการณ์ดังกล่าวจะทำให้โลกก้าวเข้าสู่ยุคแห่ง “การปฏิวัติอย่างนุ่มนวล” (gentle revolution) ซึ่งจะนำไปสู่การก่อกำเนิดสังคมในอุดมคติทางเทคโนโลยี หรือ “ยูโทเปีย” ที่เทคโนโลยีทั้งมวลรวมถึงเอไอไม่เป็นภัยคุกคามต่อมนุษย์
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าอัลต์แมนไม่ปฏิเสธรายงานข่าวที่ว่า มีการพบปัญหาความเบี่ยงเบน (alignment problem) ในระบบเอไอจริง ซึ่งเขาบอกว่าเราต้องเอาชนะปัญหาที่อาจเป็นภัยใหญ่หลวงนี้ให้จงได้ เพื่อป้องกันไม่ให้เอไอมีเจตจำนงและเป้าหมายที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า แนวโน้มของวงการเอไอในระยะสั้นอีกไม่เกินสิบปีข้างหน้า จะยังคงเต็มไปด้วยการแข่งขันเพื่อเร่งพัฒนาเอไอที่มีสติปัญญาเหนือกว่ารุ่นเก่า แม้จะมีคำเตือนออกมาเรื่อย ๆ ว่า การทุ่มสรรพกำลังพัฒนาเอไอแบบไม่ลืมหูลืมตานั้น อาจไม่เป็นผลดีต่อมนุษย์ในท้ายที่สุด ทว่านั่นถือเป็นเรื่องที่จะต้องคอยจับตาดูกันต่อไป
ที่มา BBC / วันที่เผยแพร่ 3 สิงหาคม 2568
Link : https://www.bbc.com/thai/articles/c9vdm2p7lv3o