บทความโล่เงิน
‘AI’ ปฏิวัติงานสอบสวน
ตำรวจภูธรภาค 2 นำร่อง
ทางออกวิกฤต ‘พงส.’ ไทย
ท่ามกลางวิกฤตการขาดแคลนพนักงานสอบสวนที่ส่งผลกระทบต่อการอำนวยความยุติธรรมให้กับประชาชนมาอย่างยาวนาน
ล่าสุด พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 ได้ประกาศนโยบายที่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการตำรวจไทยด้วยการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาเรื้อรังนี้อย่างเป็นรูปธรรมการตัดสินใจครั้งนี้ของผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ที่ก้าวข้ามกรอบความคิดแบบเดิมที่มักจะมุ่งเน้นแต่การเรียกร้องให้เพิ่มอัตรากำลังพนักงานสอบสวนเพียงอย่างเดียว
ซึ่งเป็นตัวแปรที่ควบคุมได้ยากในสภาพความเป็นจริงของระบบราชการไทย แต่หันมามองหาทางออกที่เป็นไปได้จริงและสามารถดำเนินการได้ทันที
ปัญหาการขาดแคลนพนักงานสอบสวนในประเทศไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 2 ซึ่งครอบคลุม 8 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี นครนายก สระแก้ว และฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ทำให้มีประชากรแฝงจำนวนมาก ส่งผลให้ภาระงานของพนักงานสอบสวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จากข้อมูลพบว่า พนักงานสอบสวนคนหนึ่งต้องรับผิดชอบคดีเฉลี่ย 150-200 คดีต่อปี
หมายความว่าต้องทำงานเกือบทุกวันโดยไม่มีวันหยุด บางครั้งต้องทำงานต่อเนื่องถึง 48 ชั่วโมง โดยเฉพาะเมื่อเกิดคดีสำคัญหรือคดีที่สังคมให้ความสนใจ
ภาระงานที่หนักเกินไปนี้ไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพกายและใจของพนักงานสอบสวนเท่านั้น แต่ยังกระทบต่อคุณภาพของการสอบสวนและความเป็นธรรมที่ประชาชนควรได้รับอีกด้วย
สิ่งที่น่าสนใจจากแนวคิดของ พล.ต.ท.ยิ่งยศคือ การมองเทคโนโลยี AI ในมุมที่ถูกต้องและสมดุล
โดยเน้นย้ำว่า AI จะไม่เข้ามาแทนที่พนักงานสอบสวน แต่จะเข้ามาเป็นผู้ช่วยที่ทรงประสิทธิภาพ ช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน และทำให้พนักงานสอบสวนสามารถทุ่มเทเวลาและความสามารถไปกับงานที่ต้องใช้ดุลยพินิจและความละเอียดอ่อนในการทำงานระดับประณีตมากขึ้น
แนวทางการนำ AI มาใช้ในงานสอบสวนของตำรวจภูธรภาค 2 จะครอบคลุมหลายด้าน อาทิ การใช้ AI ช่วยในการจัดทำเอกสารต่างๆ เช่น การพิมพ์บันทึกคำให้การ การสรุปพยานหลักฐาน การค้นหาข้อมูลทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปกติเป็นงานที่ใช้เวลามากและทำให้พนักงานสอบสวนต้องทำงานล่วงเวลาเป็นประจำ
นอกจากนี้ AI ยังสามารถช่วยในการวิเคราะห์พยานหลักฐานเบื้องต้น เช่น การวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิด การเปรียบเทียบลายนิ้วมือ การวิเคราะห์รูปแบบการก่ออาชญากรรม ซึ่งจะช่วยให้พนักงานสอบสวนสามารถมุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์และการสอบสวนเชิงลึกได้มากขึ้น
การนำ AI มาใช้ในงานสอบสวนจะส่งผลดีต่อประชาชนโดยตรงในหลายประการ
ประการแรก คือความรวดเร็วในการดำเนินคดี เมื่อพนักงานสอบสวนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ระยะเวลาในการสอบสวนคดีจะลดลง ประชาชนจะได้รับความยุติธรรมที่รวดเร็วขึ้น
ประการที่สอง คือคุณภาพของการสอบสวนที่ดีขึ้น เมื่อพนักงานสอบสวนมีเวลามากขึ้นในการทำงานเชิงคุณภาพ การรวบรวมพยานหลักฐานจะรอบคอบและครบถ้วนมากขึ้น ลดโอกาสการผิดพลาดหรือการละเลยพยานหลักฐานสำคัญ
ประการที่สาม คือการเข้าถึงความยุติธรรมที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีเล็กหรือคดีใหญ่ ทุกคดีจะได้รับการดูแลอย่างเต็มที่ เพราะ AI จะช่วยจัดการงานประจำที่ซ้ำซ้อน ทำให้พนักงานสอบสวนมีเวลาดูแลทุกคดีอย่างทั่วถึง
การที่ตำรวจภูธรภาค 2 อาสาเป็นองค์กรนำร่องในการใช้ AI แก้ปัญหาพนักงานสอบสวน ถือเป็นการแสดงความกล้าหาญในการเปลี่ยนแปลงและการเปิดรับนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะสามารถเป็นต้นแบบให้กับหน่วยงานตำรวจอื่นๆ ทั่วประเทศได้นำไปปรับใช้ต่อไป
อย่างไรก็ตาม การนำเทคโนโลยีมาใช้ย่อมมีความท้าทายหลายประการ ทั้งในด้านการลงทุน การพัฒนาระบบให้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง การฝึกอบรมบุคลากรให้สามารถใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
และที่สำคัญคือการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนว่าการใช้ AI จะไม่กระทบต่อความเป็นธรรมและความโปร่งใสในกระบวนการยุติธรรม
การตัดสินใจของ พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ในการนำ AI มาใช้แก้ปัญหาวิกฤตพนักงานสอบสวน สะท้อนให้เห็นถึงภาวะผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และกล้าที่จะคิดนอกกรอบ แทนที่จะติดอยู่กับการรอคอยสิ่งที่ควบคุมไม่ได้อย่างการเพิ่มอัตรากำลัง กลับเลือกที่จะใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของบุคลากรที่มีอยู่
ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว การปรับตัวและการนำนวัตกรรมมาใช้ในภาครัฐเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การที่ตำรวจภูธรภาค 2 ก้าวออกมาเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จึงไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่ยังเป็นการวางรากฐานสำคัญสำหรับการพัฒนาระบบงานตำรวจไทยในระยะยาว
หากโครงการนำร่องนี้ประสบความสำเร็จ เราอาจได้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการตำรวจไทย ที่ไม่เพียงแต่จะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากร แต่ยังยกระดับคุณภาพการให้บริการประชาชน สร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม
และที่สำคัญคือทำให้พนักงานสอบสวนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถทำงานได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ ซึ่งในที่สุดแล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์สูงสุดก็คือประชาชนทุกคนนั่นเอง
ที่มา : สำนักข่าวมติชนออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 14 กรกฎาคม 2568
Link : https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_850768