ในช่วงที่ผ่านมาสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณในเรื่องการสนับสนุนระเบียงมนุษยธรรมในรัฐยะไข่ โดยอาศัยรัฐบาลบังกลาเทศเป็นผู้ดำเนินการ แต่ก็ถูกตีความว่าอาจจะเป็นการพยายามเสริมอิทธิพลให้กองกำลังอาระกัน จนเป็นการกระตุ้นให้จีนเพิ่มการสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการทหารในกรุงเนปิดอว์
ย้อนไปเมื่อช่วงกลางเดือน เมษายน ของปีนี้ มีเจ้าหน้าที่การต่างประเทศของสหรัฐฯ 3 ราย ได้เดินทางไปเยือนกรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งสองรายในที่นี้ทำหน้าที่เกี่ยวกับประเด็นพม่า พวกเขาได้ส่งสัญญาณในเรื่องเกี่ยวกับประเด็นโรฮิงญาและรัฐยะไข่ของพม่า โดยอาศัยรัฐบาลรักษาการของบังกลาเทศเป็นตัวกลาง
บังกลาเทศกำลังมีการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองโดยรัฐบาลรักษาการอภายใต้การนำของ มูฮัมหมัด ยูนุส ผู้ที่เปลี่ยนจุดยืนเรื่องภูมิศาสตร์การเมืองของประเทศให้ตอบรับต่อผลประโยชน์ของชาติตะวันตกทั้งในเรื่องการเมืองและเรื่องเศรษฐกิจ รวมถึงยังมีการแต่งตั้งที่ปรึกษาด้านความมั่นคงและหัวหน้าที่ปรึกษาพิเศษด้านการต่างประเทศเป็นผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับพม่าและประเด็นโรฮิงญามาก่อน เป็นการส่งสัญญาณว่าบังกลาเทศกำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญทางด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯ กับพม่า
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บังกลาเทศได้ตั้งค่ายผู้ลี้ภัยให้กับชาวโรฮิงญาที่หนีจากความรุนแรงของกองทัพพม่า ค่ายดังกล่าวนี้อยู่ที่ค็อกซ์บาซาร์ที่มีสภาพความเป็นอยู่ย่ำแย่ แต่ต่อมาทางการบังกลาเทศก็ปรับเปลี่ยนท่าทีว่าต้องการส่งต่อผู้ลี้ภัยโรฮิงญา 1.4 ล้านรายกลับประเทศพม่า จนกระทั่งเลขาธิการสหประชาชาติและตัวแทนจากสหรัฐฯ 3 ราย เดินทางเข้าพบปะกับยูนุส ทางการบังกลาเทศก็มีการเปลี่ยนแปลงท่าทีในเรื่องนี้
ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลยูนุสของบังกลาเทศหันมาเสนอเรื่องการสร้างระเบียงมนุษยธรรมไปสู่รัฐยะไข่ โดยอ้างเรื่อง “สภาพใกล้เคียงกับภาวะแร้นแค้น” และ “ปัญหาความอดอยาก” ในพื้นที่ภายใต้การยึดครองของกองทัพอาระกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในกองทัพชาติพันธุ์ฝ่ายต่อต้านเผด็จการพม่า แต่โครงการระเบียงมนุษยธรรมนี้ก็มีนักวิเคราะห์วิจารณ์ว่า “ไม่มีความชอบธรรมตามกฎหมายนานาชาติ” และเป็นการกระทำที่ไม่ได้รับความยินยอมจากรัฐบาลพม่ามาก่อน จนอาจจะทำให้เกิดปัญหาด้านกฎหมายและปัญหาทางการทูตได้
ทางการบังกลาเทศและกองทัพอาระกันมีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมาตั้งแต่เดือน ธันวาคม 2567 แต่ นักวิเคราะห์ก็มองว่า การที่กองทัพอาระกันล่วงล้ำเข้ามาในเขตแดนของบังกลาเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตและการปฏิสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมกับกลุ่มๆ นี้ อาจจะเพิ่มความเสี่ยงเรื่องความมั่นคงของเขตแดนและความเสี่ยงต่ออธิปไตยของชาติได้ นอกจากนี้ ยังมีการตีความว่าโครงการระเบียงมนุษยธรรมของบังกลาเทศอาจจะกลายเป็นการเปิดทางให้สหรัฐฯ ส่งลำเลียงความช่วยเหลือให้กับกองทัพอาระกันด้วย
เรื่องที่สหรัฐฯ จะใช้ช่องทางนี้ส่งความช่วยเหลือที่ไม่ใช่อาวุธให้กับกองทัพอาระกัน เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกฎหมายเบอร์มาของสหรัฐฯ แต่ก็มีความกังวลว่าถ้ากองทัพบังกลาเทศเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอาจจะทำให้บังกลาเทศเสี่ยงด้านความมั่นคง นอกจากนี้ยังมีความกังวลว่า เรื่องนี้จะถูกมองในฐานะที่สหรัฐฯ แสดงอิทธิพลเข้ามาในภูมิภาค กลายเป็นการดึงจีนเข้ามาในเกมงัดข้อทางอำนาจโดยอาศัยพม่าเป็นพื้นที่
เมื่อไม่นานนี้ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงของจีนเพิ่งจะเข้าพบกับ มินอ่องหล่าย ผู้นำกองทัพเผด็จการพม่าที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย โดยแสดงการสนับสนุนกองทัพพม่าในด้านการคุ้มครองเขตแดน ซึ่งสามารถตีความว่า จีนกำลังแสดงจุดยืนสนับสนุนฝ่ายกองทัพพม่าอย่างเต็มที่ในเรื่องการสู้รบที่กองทัพอาระกันมีปฏิบัติการรุกคืบทางทหารเพื่อหวังยึด เมืองหลวงซิตตเหว่ (ทรางทวย) เจาก์ผิ่ว และหม่านอ่อง
โดยที่ทางการจีนมีผลประโยชน์ในพื้นที่ดังล่าวนี้ คือการลงทุนในเจาก์ผิ่วของรัฐยะไข่ เป็นการลงทุนเขตเศรษฐกิจพิเศษและท่าเรือน้ำลึก ซึ่งนับเป็นจุดยุทธศาสตร์ของโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” หรือ BRI เนื่องจากเป็นจุดสิ้นสุดของท่อส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ ที่เชื่อมต่อกับเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ของจีน
ทางด้านกองทัพบังกลาเทศประกาศว่า พวกเขาร่วมมือร่วมใจกับรัฐบาลในการปกป้องผลประโยชน์และอธิปไตยของประเทศ และเมื่อนักข่าวถามถึงกรณี “ระเบียงมนุษยธรรม” พลจัตวา นาซิม-อุด-เดาลา ประธานกรมอำนวยการปฏิบัติการทางทหารของบังกลาเทศก็กล่าวขอร้องให้สื่ออย่าตีความในทางที่ผิดเกี่ยวกับประเด็นที่กำลังหารือกันอยู่ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกับกองทัพ
นาซิมบอกอีกว่า เวลาที่พวกเขาพูดคุยโครงการดังกล่าวนี้กับกองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอาระกัน ARSA พวกเขาไม่เคยเรียกมันว่าเป็น “ระเบียง” และกล่าวยืนยันว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มติดอาวุธที่ชายแดนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับประเด็นระเบียงมนุษยธรรมแต่อย่างใด
นอกจากนี้กองทัพบังกลาเทศยังได้ตอบคำถามสื่อในประเด็นข้อกังวลอื่นๆ เช่นเรื่องที่มีกองกำลังติดอาวุธ กุกิ-ชิน KNF สั่งตัดเครื่องแบบ 3,000 ชุด จากโรงงานของบังกลาเทศ และ เรื่องที่มีการกลับมาเปิดสนามบินลัลมอนนีร์ฮัตว่าเป็นการกลับมาเปิดเพื่อให้ประเทศจีนใช้งานใช่หรือไม่ ซึ่งกองทัพบังกลาเทศก็ตอบในทำนองสร้างความมั่นใจว่า เรื่องเหล่านี้จะไม่กระทบความมั่นคงหรือผลประโยชน์ของบังกลาเทศ
เรียบเรียงจาก
Will a China-US Tug of War Ensue Over Rakhine State?, The Diplomat, 20-05-2025
Army, govt working together, not at odds, The Daily Star, 27-05-2025
ที่มา :ประชาไท / วันที่เผยแพร่ 31 พฤษภาคม 2568
Link : https://prachatai.com/journal/2025/05/113109