
“เกาหลีใต้” จากปาฏิหาริย์ทางเศรษฐกิจ สู่บททดสอบครั้งใหม่ในยุคแห่งความเปราะบาง ทั้งเศรษฐกิจ ประชาธิปไตย และความมั่นคง
ในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา ไม่มีประเทศใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างน่าทึ่งเท่ากับเกาหลีใต้ จากประเทศยากจนภายใต้ระบอบเผด็จการ ที่มีรายได้ประชาชาติต่อหัว ( จีเอ็นไอ ) ไม่ถึง 400 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 13,015.99 บาท) สู่การเป็นประเทศซึ่งอยู่ภายใต้ระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เจริญรุ่งเรือง มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง การถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติ และรายได้ต่อหัวประชากรเพิ่มเป็นมากกว่า 33,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.07 ล้านบาท)

ผู้คนกำลังรับประทานอาหาร ภายในร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ที่ย่านแดริมของกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ 28 พ.ค. 2568
ผู้คนกำลังรับประทานอาหาร ภายในร้านอาหารจีนแห่งหนึ่ง ที่ย่านแดริมของกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ 28 พ.ค. 2568
อย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา เกาหลีใต้ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 4 ของทวีปเอเชีย กำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ความไม่มั่นคงทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น และสิ่งแวดล้อมด้านความมั่นคงที่เปราะบางมากขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์โลกซึ่งเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แล้วประเทศแห่งนี้จะสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองอีกครั้ง เพื่อเผชิญหน้าและรับมือกับความท้าทายใหม่เหล่านี้ได้มากน้อยเพียงใด
ในมิติทางเศรษฐกิจ หลังเศรษฐกิจของเกาหลีใต้เติบโตอย่างรวดเร็วระหว่างทศวรรษ 1970–1990 โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 7% เศรษฐกิจของเกาหลีใต้กลับประสบกับภาวะชะลอตัวในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยลดลงเหลือเพียง 2–3% ยิ่งไปกว่านั้น มีการคาดการณ์ว่า จะลดลงอีกเหลือเพียง 1% ในทศวรรษหน้า
หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ การลดลงของประชากร ด้วยอัตราการเกิดที่ลดลงเหลือเพียง 0.75 ซึ่งต่ำที่สุดในโลก ทำให้ประชากรของเกาหลีใต้กำลังหดตัว และมีอายุขัยเฉลี่ยเพิ่มขึ้น เกาหลีใต้จึงเข้าสู่สังคม “ซูเปอร์เอจ” หรือ สังคมสูงวัยระดับสุดยอดในปีนี้ หมายความว่า ประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป จะมีสัดส่วนเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด

หญิงสูงวัยคนหนึ่งใช้วอล์กเกอร์ช่วยพยุง ตัวขณะเดินไปตามถนนในหมู่บ้านทงอิลชอน หรือ “หมู่บ้านเอกภาพ” เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 โดยหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงโซลประมาณ 60 กิโลเมตร อยู่ในเขตควบคุมพลเรือน ซึ่งเป็นพื้นที่หวงห้ามที่อยู่ติดกับเขตปลอดทหาร ( ดีเอ็มแซด )
นอกจากนี้ การเติบโตของผลิตภาพที่ต่ำและหนี้ครัวเรือนที่สูง ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ฉุดรั้งการบริโภคและการลงทุน เพิ่มความเสี่ยงให้เกาหลีใต้เข้าสู่ภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจในระยะยาว คล้ายกับ “ทศวรรษที่สูญหาย” ซึ่งเป็นช่วงเวลาวิกฤติที่ญี่ปุ่นเคยเผชิญ
ทั้งนี้ สถานการณ์ยิ่งวิกฤติมากขึ้น เมื่อจีนเริ่มแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เกาหลีใต้เคยครองความเป็นผู้นำ เช่น การต่อเรือ เหล็กกล้า สมาร์ตโฟน และล่าสุดคือเซมิคอนดักเตอร์ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ โมเดลเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยการส่งออก ซึ่งเคยเป็นแรงผลักดันหลักของความสำเร็จในอดีต กำลังเผชิญกับแรงเสียดทานอย่างรุนแรงจากมาตรการกีดกันทางการค้า และการแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างประเทศมหาอำนาจ
ความปั่นป่วนและวุ่นวายทางการเมืองของเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะหลัง ทั้งจากคดีทุจริตและความขัดแย้งระหว่างพรรคการเมือง การประกาศกฎอัยการศึกเมื่อเดือนธันวาคม 2567 โดยประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ผู้นำประเทศในเวลานั้น แม้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่สะท้อนให้เห็นถึงสัญญาณของการถดถอยทางประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นการประกาศกฎอัยการศึกครั้งแรกของเกาหลีใต้นับตั้งแต่ปี 2523 และยังแสดงให้เห็นว่า กลไกประชาธิปไตยของเกาหลีใต้ยังเปราะบางมาก
อย่างไรก็ตาม การต่อต้านอย่างรุนแรงจากประชาชนที่เกิดขึ้นทันที และการลงมติของสภาแห่งชาติเพื่อยกเลิกประกาศดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน ยังคงเป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของภาคประชาชนที่ยังคงแข็งแกร่ง
ในเวลาเดียวกัน ภัยคุกคามด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้น ยิ่งทำให้เกาหลีใต้เผชิญกับสถานการณ์ที่ซับซ้อนมากขึ้นไปอีก เกาหลีเหนือยังคงทดสอบขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง และมีความสัมพันธ์ทางทหารที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับรัสเซียและจีน แม้ตอนนี้จะเอนเอียงไปทางรัสเซียมากกว่า
ขณะเดียวกัน เกาหลีใต้ยังคงต้องรักษาสมดุลในการแสดงบทบาทและกำหนดท่าทีต่อการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างจีน ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญ กับสหรัฐ ซึ่งกลายเป็นพันธมิตร “ที่เริ่มไม่น่าไว้วางใจมากขึ้น” นับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาดำรงตำแหน่งผู้นำสหรัฐเป็นสมัยที่สอง
การที่ทรัมป์เคยขู่ว่าจะลดบทบาทความร่วมมือทางทหารกับเกาหลีใต้ และหันไปเจรจากับเกาหลีเหนือ ทำให้ชาวเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อยเริ่มเรียกร้องให้รัฐบาลหันมาพัฒนาขีดความสามารถด้านนิวเคลียร์ของตนเอง ผลสำรวจความคิดเห็นในระยะหลังสะท้อนให้เห็นว่าชาวเกาหลีใต้จำนวนมากขึ้นสนับสนุนการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของประเทศ แม้รัฐบาลยังยึดมั่นในหลักการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ แต่แรงกดดันจากภาคประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ในมิติเรื่องเศรษฐกิจ เกาหลีใต้อาจต้องมีการปฏิรูปจากการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ไปสู่การเติบโตด้วยนวัตกรรม ซึ่งต้องอาศัยการลงทุนขนาดใหญ่ในด้านวิจัยและพัฒนา การสนับสนุนสตาร์ตอัปในอุตสาหกรรมล้ำสมัย ควบคู่ไปกับการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรมในภาคหลัก เช่น เซมิคอนดักเตอร์ ยานยนต์ไฟฟ้า และแบตเตอรี่ รวมถึงการปรับปรุงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องให้คล่องตัวมากขึ้น เฉพาะผ่านการปฏิรูปเชิงโครงสร้างและการนำดิจิทัลมาใช้ จึงจะสามารถปลดล็อกศักยภาพในการเติบโตและช่วยลดความเหลื่อมล้ำ

ประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ผู้นำเกาหลีใต้ และนางคิม ฮเย-คยอง สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งและภริยา ทักทายประชาชน ระหว่างพิธีสาบานตนรับตำแหน่ง ที่สภาแห่งชาติ ในกรุงโซล 4 มิ.ย. 2568
แม้หลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในเกาหลีใต้เตรียมพิจารณาการปฏิรูปรัฐธรรมนูญ เพื่อแก้ไขวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่วาระเดียว และนานสูงสุด 5 ปี เหนือสิ่งอื่นใด ผู้นำคนใหม่ต้องแสดงความมุ่งมั่นในการรักษาธรรมาภิบาล ความซื่อสัตย์ของสถาบัน และการบริหารที่ครอบคลุม และการเปิดรับการทำงานร่วมกับฝ่ายค้านอย่างสร้างสรรค์
เกาหลีใต้เคยแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพลิกฟื้นตัวเองอย่างน่าทึ่งมาแล้วในอดีต หากมีผู้นำที่ชาญฉลาด สามัคคี และมีวิสัยทัศน์ที่มุ่งไปข้างหน้า พร้อมรับมือกับความเปราะบางทางเศรษฐกิจ การแสดงบทบาทในฐานะเป็นสะพานเชื่อมความขัดแย้งทางการเมือง และการเสริมสร้างความมั่นคงของชาติ สิ่งเหล่านี้หวนกลับมาเป็นบททดสอบสำหรับประธานาธิบดีอี แจ-มยอง ผู้นำคนใหม่ของเกาหลีใต้ ซึ่งหากสามารถทำได้ดี จะเป็นแบบอย่างให้ผู้นำนานาชาติถอดบทเรียนได้เช่นกัน.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : AFP
ที่มา : สำนักข่าวเดลินิวส์ออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 8 มิถุนายน 2568
Link : https://www.dailynews.co.th/articles/4789338/