
ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกแวดวงต้องปรับตัวเพื่อให้เท่าทันเทคโนโลยี รวมถึงกับโลกยุค “AI-ปัญญาประดิษฐ์” ที่ในปัจจุบันนี้ดูเหมือน “ปัญญาประดิษฐ์” จะมีอยู่รายล้อมรอบตัวมนุษย์แทบทุกที่ ไม่เว้นแม้แต่ใน “แวดวงการแพทย์”
อัปเดทวงการแพทย์ ‘ใช้ AI ช่วยหมอ’ พัฒนาก็ท้าทาย??
“ใช้ AI” ทำให้ “รักษาโรคสะดวกยิ่งขึ้น”
ก็ย่อม “มีผลดีต่อการรักษาชีวิตผู้ป่วย”
เกี่ยวกับความคืบหน้าการนำ “AI” มาประยุกต์ใช้ในทางการแพทย์ในไทย ที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จะสะท้อนต่อข้อมูล กับกรณีนี้ได้มีการเปิดเผยผลการดำเนินงานผ่านเวทีการประชุมวิชาการของ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ประจำปี 2568 ภายใต้แนวคิด “นวัตกรรมเพื่อระบบสุขภาพไทยที่เข้มแข็ง” ที่ฉายภาพความก้าวหน้าของเทคโนโลยี…ของ AI ที่เข้ามาพลิกโฉมการแพทย์ไทย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีผลงานความสำเร็จ “ใช้ AI รักษาผู้ป่วยโรคตา” จากผลงานการพัฒนาของนักวิจัยไทย
ทาง ศ.คลินิก นพ.ไพศาล ร่วมวิบูลย์สุข จักษุแพทย์เชี่ยวชาญ โรงพยาบาลราชวิถี ในฐานะนักวิจัยที่มีส่วนร่วมในการพัฒนา AI เพื่อใช้ในการรักษา เผยไว้ว่า… ปัจจุบันมีการ “ใช้ AI คัดกรองโรคเบาหวานเข้าจอตา”ซึ่งภาวะเบาหวานเข้าจอตาเป็นสาเหตุการตาบอดอันดับแรกของโลก แต่ปัญหาที่เจอในไทยคือ…ที่ผ่านมาการคัดกรองโรคนี้ยังทำได้ไม่ครอบคลุม เนื่องจากจำนวนจักษุแพทย์ในไทยมีอยู่จำกัด นี่จึงทำให้ทีมวิจัยพัฒนาระบบ AI นี้ขึ้นมาเพื่อใช้คัดกรองภาวะนี้ ซึ่งจากการทดสอบพบว่า… สามารถทำหน้าที่ได้เหมือนบุคลากรการแพทย์ที่ผ่านการอบรม ทั้งยัง มีประสิทธิภาพการคัดกรองสูง
นอกจากนั้น ศ.คลินิก นพ.ไพศาล ยังเล่าไว้ถึงจุดเด่นงานวิจัยที่ สวรส. สนับสนุนทุนว่า…นอกจากคัดกรองเบาหวานเข้าจอตาได้แล้ว ระบบยังสามารถ ให้ข้อมูลได้ว่าจำเป็นต้องส่งผู้ป่วยรักษาต่อหรือไม่ รวมไปถึง มีระบบติดตามผู้ป่วยต่อเนื่อง ที่ช่วยแก้ปัญหาที่เคยมีในอดีต ซึ่งที่ผ่านมามีผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยที่ไม่ไปพบจักษุแพทย์ต่อเนื่อง ทำให้การรักษาไม่ได้ผลลัพธ์อย่างที่ควร และนอกจากนี้ผลศึกษาก็พบว่าการใช้ AI คัดกรอง และส่งต่อการรักษา สามารถ เพิ่มอัตราการไปพบจักษุแพทย์ ได้มากกว่าใช้บุคลากรคัดกรองผู้ป่วยอย่างเดียว อีกทั้งยังมีผลผิดพลาดน้อยกว่า จึงคุ้มค่ามากกว่าการใช้คนอย่างเดียว
นี่เป็นผลสำเร็จจากการนำ AI มาใช้
คุณหมอหนึ่งในทีมทำวิจัยท่านเดิมระบุไว้อีกว่า… การ ใช้ AI คัดกรองผู้ป่วยที่เสี่ยงเกิดภาวะเบาหวานเข้าจอตาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ หรือในระยะแรก ๆ ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ตัวผู้ป่วย ครอบครัว และระบบสาธารณสุข ได้เป็นจำนวนมาก โดยยกตัวอย่างจากการคำนวณ… การดูแลรักษาผู้ป่วยตาบอด 1 คน รัฐต้องใช้งบประมาณราว ๆ 100,000 บาทต่อคนต่อปี แต่ถ้าคัดกรองผู้ป่วยได้ 100,000 คน จะสามารถตรวจพบผู้ป่วยที่เกิดภาวะนี้ราว 6,000 คน จะสามารถนำเข้าสู่ระบบรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ ได้ราว 2,700 คน ซึ่งจะลดโอกาสตาบอดได้ถึง 90% ก็จะส่งผลให้รัฐประหยัดงบประมาณส่วนนี้ได้กว่า 300 ล้านบาทต่อปี
ทั้งนี้ มีอีกกรณีน่าสนใจที่มีการสะท้อนไว้ในเวทีวิชาการดังกล่าว คือ… “ใช้ AI เพื่อการวิจัยทางจีโนมิกส์” ที่สามารถ ช่วยในด้านเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาโรคมะเร็ง โดยทาง ศ.นพ.มานพ พิทักษ์ภากร คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล หัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช ระบุไว้ว่า… ปัจจุบันข้อมูลรหัสพันธุกรรมมนุษย์มีความคงที่แน่นอนแล้วว่ามีลักษณะอย่างไร แต่การนำมาแปลผลตรวจเพื่อทำนายโรคนั้น ปัจจุบันยังทำได้ไม่มากนัก เนื่องจากบุคลากรที่มีจำกัด แต่เมื่อมีการพัฒนาระบบ AI ให้เข้ามาช่วยทำหน้าที่แปลผลตรวจ ทำให้ทำงานได้มากขึ้น
ทางหัวหน้าศูนย์วิจัยเป็นเลิศด้านการแพทย์แม่นยำ ศูนย์จีโนมิกส์ศิริราช ได้มีการยกตัวอย่างการ “นำ AI มาใช้ด้านจีโนมิกส์” ไว้ว่า… ยกตัวอย่างเช่น การ นำ AI มาใช้เพื่อช่วยแปลผลรหัสพันธุกรรม ซึ่งปัจจุบันพัฒนาจนมีความแม่นยำที่ 90% แต่ถึงกระนั้นทางทีมงานก็ยังไม่พอใจ จำเป็นจะต้องพัฒนาเพิ่มขึ้นต่อไปอีก เนื่องจากการตรวจรหัสพันธุกรรม 100 คน แล้วมีการแปลผลและทำนายโรคผิดไป 10 คนนั้น ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้น ดังนั้นความแม่นยำที่ควรจะเกิดขึ้นจึงต้องเป็น 99.9% เป็นอย่างต่ำ โดยขณะนี้ทางศิริราชกำลังพัฒนา AI สำหรับแปลผลเฉพาะยีนมะเร็งอย่างเดียว เพื่อเน้นให้ได้ความแม่นยำสูงสุด
“แม้ยังไม่ได้เรทที่ต้องการ แต่ก็ใช้งานด้านอื่นได้ดี เช่น เมื่อเพิ่มข้อมูลจีโนมิกส์เข้าไปในแชตบอต ทำให้แพทย์ให้คำแนะนำและวางแผนรักษาโรคทางพันธุกรรมให้ผู้ป่วยได้ง่ายขึ้น หรือนำไปใช้เพื่อ ช่วยแปลผลทางพยาธิวิทยาจากชิ้นเนื้อที่ส่งตรวจว่าแพทย์ควรต้องตรวจการกลายพันธุ์ของยีนมะเร็งหรือไม่ เป็นต้น” …ทาง ศ.นพ.มานพ สะท้อนไว้
…เหล่านี้เป็นข้อมูล “อัปเดทแวดวงการแพทย์” หลัง “นำเทคโนโลยี AI มาใช้งาน” ซึ่งจากข้อมูลข้างต้นสะท้อนถึง ประโยชน์การใช้ AI ทางการแพทย์ ที่ทำให้การดูแลรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันก็ยังมี “ความท้าทาย” ไม่น้อย โดย “มีเรื่องที่ต้องคำนึงถึง” โดยเฉพาะเรื่อง “จริยธรรม-ธรรมาภิบาล” ซึ่งกรณีนี้ จิตสถา ศรีประเสริฐสุข รอง ผอ.สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ก็มีการสะท้อนไว้น่าสนใจว่า… เรื่องนี้สำคัญเป็นลำดับแรก ๆ…
“ต้องตระหนัก” จะต้องวางรากฐานให้ดี
เพราะนำ “AI” มาใช้ หรือมามีส่วนร่วม
ทุกการตัดสินใจ “ก็ล้วนเกี่ยวกับชีวิต”
ที่มา : สำนักข่าวเดลินิวส์ออนไลน์ / วันที่เผยแพร่ 14 มิถุนายน 2568
Link : https://www.dailynews.co.th/articles/4810289/