
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจัดการชุมนุมเมื่อวันที่ 27 พ.ค. เพื่อแสดงการสนับสนุนนักศึกษาต่างชาติหลังจากรัฐบาลทรัมป์สั่งตัดสิทธิรับนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
นักเรียนทั่วโลกต่างรู้สึกวิตกกังวลและตกอยู่ในภาวะไม่แน่นอน จากแผนของรัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาที่เตรียมระงับการนัดหมายขอวีซ่านักเรียนในสหรัฐฯ เป็นการชั่วคราว
บันทึกข้อความภายในฉบับหนึ่งซึ่งพันธมิตรของบีบีซีในสหรัฐฯ อย่างสถานีโทรทัศน์ซีบีเอส (CBS) ได้เห็น ระบุว่า กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้สั่งระงับการนัดหมายขอวีซ่าเป็นการชั่วคราว ขณะที่เจ้าหน้าที่เตรียมเพิ่มขั้นตอนการตรวจสอบทางโซเชียลมีเดียของผู้ยื่นขอวีซ่านักเรียนและวีซ่าแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศ
นี่เป็นส่วนหนึ่งของการปราบปรามครั้งใหญ่โดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ต่อมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ บางแห่ง ซึ่งเขามองว่ามีแนวคิดเสรีนิยมมากเกินไป
ทรัมป์ยังมีคำสั่งห้ามมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดรับนักศึกษาต่างชาติ โดยกล่าวหาว่า มหาวิทยาลัยแห่งนี้ไม่ได้ดำเนินการมาตรการต่าง ๆ มากพอในต่อผู้มีแนวความคิดต่อต้านชาวยิว (antisemitism) ภายในวิทยาเขต
อย่างไรก็ตาม มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดตอบโต้โดยได้ยื่นฟ้องต่อศาลแล้ว และผู้พิพากษาได้มีคำสั่งระงับคำสั่งห้ามของทรัมป์ไว้ชั่วคราวแล้วเช่นกัน
นักเรียนกลุ่มไหนได้รับผลกระทบมากที่สุด ?
จากข้อมูลของโอเพนดอร์ส (Open Doors) ซึ่งเป็นองค์กรที่เก็บข้อมูลเกี่ยวกับนักศึกษาต่างชาติ ระบุว่า ในปีการศึกษา 2023–2024 มีนักศึกษาต่างชาติมากกว่า 1.1 ล้านคนจากกว่า 210 ประเทศที่ลงทะเบียนเรียนในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ
อินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนนักศึกษาในสหรัฐฯ มากที่สุดในปีที่แล้ว ด้วยตัวเลขนักศึกษาเกินกว่า 330,000 คน ตามมาด้วย จีน ที่มีนักศึกษาประมาณ 280,000 คน อันดับถัด ๆ ไปได้แก่ เกาหลีใต้ แคนาดา ไต้หวัน เวียดนาม ไนจีเรีย บังกลาเทศ บราซิล และเนปาล
อย่างไรก็ตาม มาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า รัฐบาลทรัมป์จะ “เพิกถอนวีซ่านักเรียนจีนอย่างจริงจัง ซึ่งรวมถึงผู้ที่มีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน หรือกำลังศึกษาในสาขาที่ถือว่ามีความสำคัญเชิงกลยุทธ์”
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนปรับเกณฑ์การตรวจสอบให้เข้มงวดขึ้น สำหรับผู้สมัครวีซ่านักเรียนจากจีนและฮ่องกงในอนาคต
ขณะนี้ยังไม่แน่ชัดว่าจะมีนักเรียนสัญชาติจีนจำนวนเท่าไหร่ที่อาจได้รับผลกระทบ
แต่จีนออกแถลงการณ์ “คัดค้านอย่างหนักแน่น” ต่อความเคลื่อนไหวนี้ และเรียกร้องให้สหรัฐฯ สร้างความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์มากขึ้น
ที่ผ่านมา รัฐบาลทรัมป์ได้เริ่มดำเนินการเนรเทศนักเรียนต่างชาติหลายคน และเพิกถอนวีซ่าอีกหลายพันรายแล้ว
เมื่อสิ้นเดือน มี.ค. รูบิโอกล่าวว่า สหรัฐฯ ได้เพิกถอนวีซ่านักศึกษาต่างชาติอย่างน้อย 300 คน ในความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ที่จะปราบปรามผู้ประท้วงที่สนับสนุนปาเลสไตน์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ระบุว่านักศึกษาเหล่านั้นมาจากประเทศใดบ้าง
เมื่อวันพุธที่ผ่านมา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดระบุในคำร้องที่ยื่นฟ้องต่อศาลว่า การเพิกถอนสิทธิในการรับรองสถานภาพสำหรับการรับนักศึกษาต่างชาติอาจสร้าง “ความเสียหายที่ไม่อาจแก้ไขได้” แก่มหาวิทยาลัย
ในคำแถลงประกอบคำร้องต่อศาล มอรีน มาร์ติน ผู้อำนวยการสำนักงานนักศึกษานานาชาติของฮาร์วาร์ดกล่าวว่า มาตรการดังกล่าวได้ก่อให้เกิด “ความทุกข์ทางอารมณ์อย่างรุนแรง” แก่นักศึกษาและนักวิชาการต่างชาติ
เธอระบุว่า นักศึกษาหลายคนงดเข้าร่วมพิธีจบการศึกษา ยกเลิกการเดินทางระหว่างประเทศ และบางรายกำลังมองหาโอกาสในการโอนย้ายไปเรียนต่อยังสถาบันอื่น
นักศึกษาบางคนรายงานความกังวลว่าอาจถูกบังคับให้เดินทางกลับประเทศต้นทาง ซึ่งบางแห่งกำลังมีความขัดแย้งหรือการกดขี่ทางการเมืองอยู่ในขณะนี้ ตามรายละเอียดในคำฟ้องต่อศาล
วิลเลียม บรูสไตน์ ศาสตราจารย์เกียรติคุณและนักวางกลยุทธ์ด้านการศึกษานานาชาติระดับสูง ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับทั้งมหาวิทยาลัยเวสต์เวอร์จิเนียและมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก ระบุว่า ผลกระทบต่อสหรัฐฯ จะรุนแรงมาก
“ฮาร์วาร์ดอาจพอผ่านวิกฤตนี้ไปได้ แม้จะยากลำบาก แต่สิ่งที่ผมกังวลมากกว่าคือ มหาวิทยาลัยรัฐต่าง ๆ ที่พึ่งพารายได้จากค่าเล่าเรียนและค่าธรรมเนียมของนักศึกษาต่างชาติเป็นอย่างมาก”
“และความสามารถของนักศึกษาต่างชาติในการนำมุมมองที่หลากหลายมาสู่มหาวิทยาลัยในอเมริกา นั่นแหละคือสิ่งที่จะได้รับผลกระทบอย่างแท้จริง” เขากล่าว
มีทางเลือกอื่นหรือไม่ ?
ทั้ง แคนาดา สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย ต่างก็เป็นเป้าหมายทางการศึกษาที่ดึงดูดนักศึกษาต่างชาติได้เป็นจำนวนมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนักศึกษาต่างชาติที่เดินทางไปยังประเทศเหล่านี้ลดลงอย่างมากในช่วงหลัง อันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมืองอย่างมีนัยสำคัญ
อย่าง แคนาดา ได้แสดงความมุ่งมั่นในการลดจำนวนนักศึกษาต่างชาติที่รับเข้าเรียน โดยหนึ่งในมาตรการคือ การเพิ่มข้อกำหนดเรื่อง “หลักฐานแสดงเงินทุน” (proof-of-funds) อย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการควบคุมจำนวนผู้อพยพโดยรวม
ฝั่งสหราชอาณาจักรซึ่งมีมหาวิทยาลัยชื่อดังอย่างมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดและมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ก็ได้เริ่มจำกัดโอกาสของนักศึกษาต่างชาติเช่นกัน โดยมีการบังคับใช้มาตรการจำกัดวีซ่านักเรียนตั้งแต่เดือน ม.ค. 2024 ส่งผลให้ผู้เรียนระดับปริญญาโทไม่สามารถพาครอบครัวติดตามมาด้วยได้ และนักศึกษาใหม่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้วีซ่าทำงานก่อนเรียนจบได้อีกต่อไป
ด้านออสเตรเลีย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในตลาดนักศึกษาต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ก็ได้นำมาตรการจำกัดจำนวนนักศึกษาต่างชาติที่รับเข้าเรียนมาใช้เช่นกัน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดจำนวนผู้อพยพโดยรวมให้อยู่ในระดับก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ศ.บรูสไตน์ กล่าวว่า ผลลัพธ์หนึ่งที่อาจเกิดขึ้นจากสถานการณ์นี้ คือ นักศึกษาอาจเลือกที่จะเรียนอยู่ในประเทศของตนเองแทน เพราะหลายประเทศเริ่มหันมาลงทุนในระบบการศึกษาภายในประเทศของตนมากขึ้น แต่ก็อาจไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไป
ประเทศอื่น ๆ ยื่นขอเสนออะไรบ้าง ?
สำหรับมหาวิทยาลัยหลายแห่ง การเปลี่ยนแปลงครั้งล่าสุดในสหรัฐฯ กลับถูกมองว่าเป็น “โอกาส” เนื่องจากสถาบันเหล่านี้พึ่งพารายได้จากนักศึกษาต่างชาติเป็นสัดส่วนสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักศึกษากลุ่มนี้มักต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในอัตราที่สูงกว่า
จอห์น ลี ผู้บริหารสูงสุดของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง กล่าวว่า ฮ่องกง “ยินดีต้อนรับ” นักเรียนที่ “ถูกเลือกปฏิบัติโดยนโยบายของสหรัฐฯ” หรือกำลังเผชิญความยากลำบากในการศึกษา หรือการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ
“รัฐบาลและสถาบันอุดมศึกษาท้องถิ่นพร้อมจะจัดหาแนวทางช่วยเหลือและการจัดการที่ดีที่สุดสำหรับนักเรียนที่เลือกมาศึกษาต่อในฮ่องกง” ลีกล่าว
สถาบันอื่นในเอเชีย เช่น มหาวิทยาลัยซันเวย์ในมาเลเซีย ก็ได้เปิดโอกาสต้อนรับนักศึกษาต่างชาติที่เดิมทีมีแผนจะไปเรียนในสหรัฐฯ เช่นกัน
เอลิซาเบธ ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของกลุ่มซันเวย์ เขียนผ่านแพลตฟอร์มลิงก์อิน (LinkedIn) ว่า
“เรามีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยแอริโซนา สเตต (Arizona State University – ASU) ซึ่งสามารถช่วยโอนหน่วยกิตทั้งหมดที่นักเรียนได้จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดไปยัง ASU หรือเข้าสู่หลักสูตรของมหาวิทยาลัยซันเวย์เอง แล้วยังสามารถได้รับวุฒิบัตรเพิ่มเติมจากมหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ของอังกฤษได้อีกด้วย”
ในยุโรป เยอรมนีกลายเป็นจุดหมายปลายทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในหมู่นักศึกษาที่กำลังมองหาทางเลือกนอกเหนือจากสหรัฐฯ
จากการคาดการณ์ของ สำนักงานแลกเปลี่ยนทางวิชาการของเยอรมนี (German Academic Exchange Service หรือ DAAD) คาดว่าในปี 2025 เยอรมนีจะมีนักศึกษาต่างชาติเกินกว่า 400,000 คน
เมื่อเดือน มี.ค. ปีที่แล้ว เยอรมนีได้ประกาศมาตรการใหม่ อนุญาตให้นักศึกษาต่างชาติที่ไม่ได้มาจากสหภาพยุโรปสามารถทำงานได้สูงสุด 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จากเดิมที่จำกัดไว้เพียง 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
แม้เยอรมนีจะมีการเพิ่มข้อกำหนดเรื่อง หลักฐานแสดงเงินทุน (proof-of-funds) สำหรับนักศึกษาต่างชาติด้วยเช่นกัน แต่การเพิ่มดังกล่าวยังถือว่า “ไม่รุนแรงเท่ากับ” ที่แคนาดาและออสเตรเลียดำเนินการ
ศ.บรูสไตน์ กล่าวว่า ตลาดการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น นักเรียนจึงมีทางเลือกหลากหลายทั้งในแง่ของสถาบันและสถานที่ศึกษา
“มหาวิทยาลัยหลายแห่งในมาเลเซียถือว่ามีคุณภาพดีเยี่ยม ผมยังมองว่าออสเตรเลียก็ยังเป็นทางเลือกที่ใช้ได้อยู่ ในฝรั่งเศสก็มีการจัดสรรงบประมาณเพื่อดึงดูดอาจารย์ระดับแนวหน้าที่กำลังพิจารณาจะย้ายออกจากสหรัฐฯ ดังนั้นผมคิดว่ายุโรปก็ยังคงมีบทบาท”
“แต่สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุดคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะนั่นคือภูมิภาคที่มีพลวัตมากที่สุดในโลกตอนนี้” ศ.บรูสไตน์ กล่าว
สามารถย้ายไปเรียนวิทยาเขตอื่นในต่างประเทศได้หรือไม่ ?
ศ.บรูสไตน์คาดว่าแนวคิดเรื่อง “วิทยาเขตสาขา” (branch-campus) จะได้รับความนิยมมากขึ้นในขณะนี้
“ผมรู้ว่ามหาวิทยาลัยในอังกฤษมีประวัติศาสตร์อันยาวนานในเรื่องนี้” เขากล่าว “มหาวิทยาลัยในมาเลเซียก็เช่นกัน และแม้จะมีสิ่งที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ ตอนนี้ ก็ยังมีตัวอย่างเช่น การดำเนินงานของสถาบันเทคโนโลยีอิลลินอยส์ในอินเดีย และในจีน”
บนเว็บไซต์ของฮาร์วาร์ดระบุว่ามีโอกาสศึกษาต่อต่างประเทศในกว่า 50 ประเทศ รวมถึง อาร์เจนตินา อังกฤษ เกาหลีใต้ เซเนกัล และบราซิล
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ฮาร์วาร์ดยังไม่ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า หากคำสั่งห้ามของทรัมป์มีผลบังคับใช้ นักศึกษาจะสามารถโอนย้ายไปศึกษาต่อยังสถานที่เหล่านี้ได้หรือไม่
ที่มา : BBC / วันที่เผยแพร่ 30 พฤษภาคม 2568
Link : https://www.bbc.com/thai/articles/cy4k7zygex8o