แน่นอนจีนก้าวสู่การเจรจาการค้ากับสหรัฐ ช่วงเวลาที่ทรัมป์ปรับลดภาษีการค้ากับจีนจาก 140 % เหลือใกล้เคียงกับประเทศอื่นๆ คือ ภาษีพื้นฐานเก็บที่ 10% พร้อมด้วยการชะลอการขึ้นภาษีการค้าอีก 90 วัน
มองอย่างทั่วไป ทั้งสหรัฐและจีนมีการประนีประนอมกัน ด้วยความจริงหลายประการ
ประการหนึ่งคือ เศรษฐกิจของสหรัฐและจีนต่างพึ่งพาซึ่งกันและกัน (interdependence) เป็นทั้งตลาดและห่วงโซ่อุปทานซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ตาม โลกนี้ไม่ได้มีแค่สหรัฐและจีน หากเราต้องการสลัดมายาภาพการมองแค่สหรัฐกับจีน เราควรจะมองโลกข้างหน้าอย่างน้อยอีก 4 ปีข้างหน้า
สมมุติฐานคือ หากทรัมป์บริหารประเทศครบเทอม ทั้งนี้เพื่อทดลองมองฉากทัศน์ที่เป็นไปได้และเป็นฉากทัศน์ที่กว้างขวาง
การกลับมาของทรัมป์
มีการสรุปเบื้องต้นเมื่อทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีครบ 100 วัน นักวิเคราะห์ท่านหนึ่ง จาก Chatham House มองว่าจะบอกว่าทรัมป์เหมือนผีป่าที่ดุร้ายก็ได้ เหมือนเขากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างถึงรากถึงโคน
ที่บ้านของทรัมป์ ทรัมป์ฝ่าฝืนข้อจำกัดอำนาจบริหาร (executive order) เขาใช้อำนาจบริหารซึ่งไม่ใช่กฎหมาย ดำเนินนโยบาย เช่น ยุติการเป็นพลเมืองจากสิทธิการเกิด (birth right)
ทรัมป์เพิ่มการจู่โจมการทำลายสถาบันแห่งวัฒนธรรมชนชั้นนำ การศึกษาและวิทยาศาสตร์ เช่น ตัดลดงบประมาณของมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกคือ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
ดำเนินการยุบและปรับโครงสร้างกระทรวงศึกษา
ดันผู้พิพากษาศาลสูงที่นิยมในตัวเขาสู่ตำแหน่ง เป็นต้น
ในขณะที่บ่มเพาะความหวาดกลัวในหมูฝ่ายต่อต้านเขา
ที่ต่างประเทศ ทรัมป์ฉีกการจัดการการค้าโลก เขาได้นำเสนอให้สหรัฐออกจากกติกาว่าด้วยสภาพภูมิอากาศ และสร้างข้อสงสัยเรื่องความผูกพันสหรัฐต่อองค์การนาโต
แน่นอนทรัมป์ข่มขู่การยึดพันธมิตรด้วยกำลังทหาร ได้แก่ เข้ายึดแคนาดาและกรีนแลนด์ ด้วยการกระทำหลายอย่าง เช่น ทรัมป์ถอนตัวสหรัฐออกจากบทบาทที่สหรัฐคุ้นเคยต่อโลก ในองค์การนาโต องค์การการค้าโลก องค์การอนามัยโลก เป็นต้น
เหตุที่เขาทำทั้งหมดเช่นนี้ได้เพราะทรัมป์ชนะเลือกตั้งอย่างหนักแน่น และได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางตามที่เขาให้สัญญาไว้ตอนหาเสียงเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี
ในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทรัมป์ทำให้ใครๆ ตกใจ เช่น ทรัมป์แสดงออกอย่างเปิดเผยถึงความต้องการของเขา ให้แคนาดาเป็นรัฐที่ 51
โลกปี ค.ศ.2029 และ 2049
สหรัฐอีก 4 ปี หรือปี ค.ศ.2049 หรือการพยากรณ์อีก 4 ปีของทรัมป์สมัยที่ 2 นั้นยากมากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ อิทธิพลของสหรัฐจะหดตัวอย่างสำคัญ
แนวโน้มนี้อาจเห็นได้ชัดในทรัมป์สมัยที่ 2 ถ้าการตัดสินใจทางนโยบายของทรัมป์ยังคงทำเช่นนี้ต่อไปจนถึงครบ 4 ปี ระบบพันธมิตรสหรัฐ สถานะเงินสกุลดอลลาร์เป็นสกุลเงินโลก อิทธิพลสหรัฐเหนือสถาบันพหุพาคี การปรากฏตัวทางทหารทั่วโลก และแม้แต่การครอบงำทางอุดมการณ์และต่อสื่อมวลชนจะลดน้อยลงอย่างสำคัญ
นี่เป็นแนวทางบางประการของการทำงานรอบคอบของทีมบริหารของทรัมป์ ทั้งหมดนี้ภายใต้ความเชื่อที่ว่า ต้นทุนการรักษาการจัดการระดับโลกเหล่านี้ครอบงำโดยผลประโยชน์ของสหรัฐ
ในเวลาเดียวกัน การล่าถอยของทรัมป์อาจมีการคำนวณออกมาในทิศทางเหล่านี้ได้แก่ การรื้อฟื้นอย่างมีประสิทธิภาพของลัทธิในศตวรรษที่ 19 เขตของอิทธิพล (sphere of Influence) นั่นหมายความว่า ยุคสมัยเหมือนยุคของรัฐนักรบล่าเมืองขึ้น (Colonialism) ซึ่งอภิมหาอำนาจสามารถวาดวงรอบง่ายๆ ของแผนที่กำหนดชะตากรรมของรัฐที่เล็กกว่าได้
โลกของกฎระบอบป่า อาจยอมรับไม่ได้ อย่างไรก็ตาม การกระตุ้นของทรัมป์ให้เพิ่มงบประมาณการป้องกันของประเทศในยุโรป เพื่อความเป็นอิสระในการป้องกันประเทศของตน
การที่ทรัมป์ยอมรับเป็นนัยต่อการกระทำของรัสเซียคือ การบุกทำสงครามและยึดครองยูเครน
ความทะเยอทะยานของทรัมป์ต่อดินแดนแคนาดา กรีนแลนด์ เม็กซิโก
และแม้แต่ปล่อยให้บังคลาเทศแสดงบทบาทของตนต่อประธานาธิบดีโมดีแห่งอินเดีย
ทั้งหมดนี้แนะนำต่อเราถึงแนวโน้มที่เติบโตขึ้นของโลกที่แบ่งแยก มีเขตอิทธิพล
เรื่องนี้มีบางประเด็นที่เราละเลยไม่ได้เลย
มองสถานะภายในสหรัฐ
แม้ว่าอีก 4 ปีข้างหน้าภายในสหรัฐยากจะคาดการณ์ หากมองพลวัตหรือสภาพที่กำลังเปลี่ยนแปลง ทรัมป์สามารถชักนำการปฏิรูปอย่างสำคัญบางอย่างได้ แม้สงสัยว่า แนวทางแบบถอนรากถอนโคน (radical) ของทรัมป์จะก่อความไม่พอใจของคนอเมริกันจำนวนมาก โดยเฉพาะคนในระดับล่างและคนหนุ่มสาวที่มีประสบการณ์น้อยในการที่พวกเขาต่อต้านระบบ
ดูเหมือนอะไรที่ Department of Government Efficiency-DOGE กำลังทำนั้นเกิดอาการช็อกมากมายปรากฏในสื่อโซเชียล อย่างน้อยการผลักดันจริงจังเพื่อการปฏิรูป สุดท้าย สร้างแรงกดดันตัวเองต่อทรัมป์และทีมบริหาร
ทรัมป์ยังคงใช้การโจมตีต่อรัฐพันลึก (Deep State) ต่อไป เพื่ออ้างและแสวงหาความชอบธรรมต่อการรื้อระบบและการบริหารของรัฐบาลมลฑลของสหรัฐ คนอเมริกันเข้ามาเพิ่มขึ้นในการแสดงการไม่อดทนและเข้าร่วมการต่อต้านทรัมป์มากขึ้น นี่สามารถสร้างการแบ่งแยกภายในสังคมอเมริกันที่ไม่คาดคิดมาก่อน ผสมกับความวุ่นวายทางเศรษฐกิจ และแรงกดดันนานาชาติที่เพิ่มขึ้น แล้วแสดงอุปสรรคของการปฏิรูปของรัฐบาลทรัมป์
อย่างไรก็ตาม เราควรมองการเมืองสหรัฐในอีก 4 ปีข้างหน้า อาจช่วยให้เราเห็นบทบาทของสหรัฐท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในระเบียบโลกใหม่
ระเบียบโลกใหม่
ค.ศ.2049 กับโลกอีกเจเนอเรชั่น
ไม่เพียงมีแผ่นดินไหวทางเจเนอเรชั่นคือ การเมืองของคนอีกยุคสมัยและแนวความคิดของพวกเขา อาจตัดสินใจต่างจากคนยุคเดิม เช่น อาจมีสงครามนิวเคลียร์
เป็นไปได้ว่า ปี ค.ศ.2049 จีนไล่กวดไม่ทันสหรัฐ ซึ่งเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลก
แต่ตราบเท่าที่จีนมุ่งเน้นจัดการการค้าของตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพ คนมากกว่าพันล้านคน จีนจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มขั้นและมีระบบอัตโนมัติเกือบทุกประการ แล้วจีนยังอยู่ในระบบสังคมนิยมที่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ
เท่ากับว่า จีนสามารถเป็นชาติสังคมนิยมก้าวหน้าในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ
อินเดีย จีนและสหรัฐในบทใหม่?
อินเดียยังปราศจากการเป็นอุตสาหกรรมและความทันสมัย จะไม่เปลี่ยนเป็นมหาอำนาจแท้จริง
ถ้าอินเดียสามารถก้าวสู่ทั้งอุตสาหกรรมและความทันสมัยได้ก็สามารถเปลี่ยนระเบียบโลกได้
ความสัมพันธ์สหรัฐ อินเดียและจีน อินเดียยุคทรัมป์ สหรัฐ-อินเดียเย็นชาระหว่างกันมาก วิเคราะห์ง่ายๆ ยุคทรัมป์ไม่เน้นนโยบายอินโด-แปซิฟิกแบบยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน คือ ไม่ดึงอินเดียเพื่อต่อต้านจีน ดังนั้น อินเดียไม่มีคุณค่าสูงในยุคของทรัมป์
การเยือนล่าสุดของประธานาธิบดีโมดีแห่งอินเดีย ทรัมป์ไม่เคยพอใจกับวาทกรรมมิสชั่นสหรัฐ-อินเดีย
ทรัมป์คาดหวังได้รับการหนุนทางการเงินจากอินเดีย ผ่านการส่งออกอาวุธ พลังงานและเทคโนโลยีอินเดีย
นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมมีคนวิจารณ์อินเดียฟื้นฟูความผูกพันกับจีน
ปี ค.ศ.2029 หรืออีก 4 ปีข้างหน้า ถ้าทรัมป์บริหารประเทศครบเทอม นโยบายถอนรากถอนโคนของทรัมป์ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากภายในสหรัฐและต่อโลก อันเป็นมากกว่าการตัดลดงบประมาณและเพิ่มประสิทธิภาพ
บางคนวิเคราะห์ว่า นโยบายดังกล่าวแสดงถึงทรัมป์และพวกประกอบด้วยพวก Deep Stata Disruptor หรือพวกสร้างความปั่นป่วนแก่รัฐพันลึกคือ ระบบราชการที่มีอำนาจเหนือพรรคการเมือง พวกหัวดื้อรันด้านชายแดน (Border hardlines) คือพวกต่อต้านการอพยพของต่างชาติ พวกเทคโนโลยีเสรีนิยม (Techno Libertarian) ตัวการใหญ่คือ อีลอน มัสก์ และพวกสายเหยี่ยวต่อจีน (China Hawkist)
ทรัมป์และพวกดีรัปเตอร์เหล่านี้มีพลังมากกว่าที่เราคิดและเชื่อมั่นต่อความเชื่อของพวกเขา เราต้องวิเคราะห์คนเหล่านี้
—————————————————————————————————————————————-