ภาพปก: กองกำลังความมั่นคงชายแดนอินเดีย เดินสวนสนามเนื่องในวันสาธารณรัฐ (Republic day) เมื่อปี 2566 (ที่มา: X @narendramodi)
ในช่วงที่วิกฤตปากีสถาน-อินเดียรอบล่าสุดยังคงฝุ่นตลบ แต่ก็มีนักวิเคราะห์ประเมินไว้แล้วว่าปัญหาข้อพิพาทแคว้นแคชเมียร์จะยังคงไม่จบลงง่าย และจะเกิดการปะทะครั้งใหม่ขึ้นอีกครั้ง เพราะกองทัพปากีสถานต้องการใช้ความขัดแย้งกับอินเดียเช่นนี้ในการให้ความชอบธรรมแก่การมีอยู่ของตัวเอง เรื่องนี้ยังสะท้อนว่าวิธีการแบบสงครามอสมมาตรของปากีสถานยังใช้ได้ผล
มีนักวิเคราะห์เสนอมุมมองเกี่ยวกับวิกฤตความขัดแย้งอินเดีย-ปากีสถานรอบล่าสุด ว่าใครมีส่วนได้หรือส่วนเสียอะไรกับความขัดแย้งนี้ เรื่องเริ่มต้นจากเหตุการณ์โจมตีแบบก่อการร้ายที่เมืองปาฮาลกัม แคว้นจัมมูร์-แคชเมียร์ เมื่อเดือน เม.ย. 2568 เป็นเหตุให้มีพลเรือนเป็นนักท่องเที่ยวเสียชีวิต 26 ราย เหตุเกิดในพื้นที่ๆ อินเดียปกครองอยู่
เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการโจมตีโดยสมาชิก 5 ราย ของกลุ่มติดอาวุธ ชื่อกลุ่ม “The Resistance Front” หรือ TRF ที่ใช้อาวุธปืนกล M4 Carbine และ AK-47 โจมตีสถานที่ท่องเที่ยวในเมืองปาฮาลกัม นับเป็นการโจมตีพลเรือนครั้งร้ายแรงที่สุดในอินเดียนับตั้งแต่เหตุการณ์โจมตีมุมไบปี 2551
การโจมตีนี้ก่อให้เกิดวิกฤตความขัดแย้งครั้งใหม่ เมื่ออินเดีย กล่าวหาว่า ปากีสถานให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในการโจมตีนักท่องเที่ยว แต่ปากีสถาน ก็ปฏิเสธข้อกล่าวหา ทางการอินเดีย ได้โต้ตอบด้วยการไล่ทูตปากีสถาน และเรียกทูตของตัวเองจากปากีสถาน กลับประเทศ มีการยกเลิกสนธิสัญญาร่วมกันและระงับการออกวีซา ฝ่ายปากีสถานโต้ตอบด้วยการจำกัดทางการค้า ปิดกั้นไม่ให้อินเดียเดินทางข้ามแดนและเดินทางข้ามน่านฟ้าของปากีสถาน
ต่อมาก็มีการสู้รบข้ามแดนเกิดขึ้น โดยฝ่ายอินเดียยิงจรวดขีปนาวุธใส่ที่ๆ พวกเขาเรียกว่าเป็นฐานของ “ผู้ก่อการร้าย” ซึ่งไม่เพียงแค่โจมตีแคว้นแคชเมียร์เท่านั้น แต่ยังโจมตีใส่แคว้นปัญจาบ ของปากีสถาน หลังจากนั้นต่างฝ่ายก็ใช้โดรนสังหารโจมตีใส่พื้นที่เขตแดนของอีกฝ่าย แล้วก็กล่าวหาอีกฝ่ายว่าเป็นผู้เริ่มโจมตีก่อน
ความตึงเครียดดำเนินมาจนถึงขีดสุดตอนที่อินเดียกับปากีสถานต่างก็ยิงจรวดถล่มฐานทัพหลายแห่งของอีกฝ่าย ทำให้ในตอนนั้นโลกได้เตรียมรับมือกับสงครามเต็มรูปแบบที่อาจจะปะทุได้ จนกระทั่งในที่สุด สหรัฐฯ ก็ต้องเข้าไปเป็นตัวกลางเจรจาหยุดยิง ทางฝ่ายปากีสถาน แสดงท่าทีขอบคุณสหรัฐฯ ที่เข้ามาช่วยเจรจา แต่ทางอินเดีย ยืนยันว่า การหยุดยิงเกิดขึ้นได้เพียงแค่ 2 ฝ่ายตกลงกันโดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางเป็นประเทศที่ 3
มีการทำข้อตกลงหยุดยิงในวันที่ 10 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้อินเดีย กับปากีสถาน รอดจากการนำประเทศตัวเองไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีการยกระดับความตึงเครียดทางการทหารมากขึ้นเรื่อยๆ แต่หลังจากหยุดยิงแล้ว ก็ได้กลายมาเป็นการทำ “สงครามวาทกรรม” แทน โดยที่ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าพวกตนเป็นฝ่าย “ชนะ” ในความขัดแย้งนี้
ความขัดแย้งนี้เพื่ออะไร? ใครได้ใครเสีย?
นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งระบุว่า จากวิกฤตล่าสุดที่เกิดขึ้น ดูเหมือนจะไม่มีฝ่ายใดเลยที่กลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็เอาความขัดแย้งนี้มาอ้างว่าฝ่ายตัวเองเป็นฝ่ายได้ ถึงแม้ว่าจะประสบความสูญเสียทั้งสองฝ่ายก็ตาม
ขณะเดียวกัน ก็มีมุมมองว่าการที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ได้เป็นตัวกลางในการเจรจาข้อพิพาทแคชเมียร์รอบล่าสุด อาจจะกลายเป็นผลบวกต่อปากีสถานก็ได้ ในแง่ที่ว่ามันทำให้ข้อพิพาทแคชเมียร์กลายเป็นเรื่องในระดับโลก แทนที่จะเป็นแค่ในระดับภูมิภาค
ข้อพิพาทแคว้นแคชเมียร์นี้ เป็นรากเหง้าของความขัดแย้งระหว่างอินเดีย กับปากีสถาน ครั้งล่าสุด จากการที่ 3 ประเทศได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน และจีน ต่างก็ปกครองพื้นที่คนละส่วนกันในแคชเมียร์ โดยที่จีน ปกครองพื้นที่ฉนวน 2 ส่วนเล็กๆ ขณะที่ปากีสถาน และอินเดีย ต่างก็มีข้อพิพาทกัน ซึ่งปากีสถาน มองว่า พื้นที่บางส่วนที่อินเดีย ปกครองอยู่ในปัจจุบัน จริงๆ แล้วต้องเป็นของปากีสถาน โดยไม่นับพื้นที่ๆ จีนปกครองอยู่ แต่อินเดีย มองว่า แคว้นแคชเมียร์ทั้งหมดจริงๆ แล้วต้องเป็นของอินเดีย โดยที่จีน เป็นประเทศพันธมิตรกับปากีสถาน และมีข้อพิพาทกับอินเดีย
ความขัดแย้งเช่นนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายสิบปี เคยมีการทำข้อตกลงที่เรียกว่า “ข้อตกลงซิมลา” หลังการการเจรจาระหว่าง บังกลาเทศ อินเดีย และปากีสถาน โดยที่หลังจากนั้น อินเดียก็พยายามใช้วาทกรรมที่ว่า ความขัดแย้งแคว้นแคชเมียร์เป็นเรื่องที่ตกลงกันได้ระหว่าง 2 ประเทศโดยไม่ต้องมีชาติที่ 3 เข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่ปากีสถาน ต้องการให้นานาชาติเข้ามามีบทบาทแก้ไขข้อพิพาทมากกว่า โดยอ้างข้อมติของสหประชาชาติเกี่ยวกับเรื่องนี้
วอลเตอร์ ลัดวิก อาจารย์อาวุโสจากวิทยาลัยคิงส์คอลเลจ ลอนดอน กล่าวว่า ความขัดแย้งรอบล่าสุดได้ให้โอกาสปากีสถานในการทำให้ประเด็นแคชเมียร์กลายเป็นประเด็นระดับนานาชาติ ซึ่งเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของพวกเขาที่มีมาเป็นเวลานาน โดยอ้างเรื่องที่สหรัฐฯ เข้ามามีส่วนช่วยเจรจาครั้งล่าสุด
แต่รัฐบาลอินเดียก็มีส่วนได้จากความขัดแย้งครั้งล่าสุดนี้เช่นกัน สุดา รามาจันดรัน บรรณาธิการฝ่ายเอเชียใต้ จากนิตยสาร ดิ ดิปพโลแมต กล่าวว่า รัฐบาล นเรนทรา โมดี อาจจะสามารถอ้างใช้ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในการเรียกเสียงสนับสนุนจากฐานเสียงชาตินิยมอินเดียได้ แต่ก็อาจจะสูญเสียความนิยมไปบ้างจากกลุ่มหัวรั้นหลังจากที่มีการตกลงหยุดยิง
นักวิเคราะห์อื่นๆ ยังบอกอีกว่า การที่ปากีสถานใช้วิธีการก่อการร้ายอาจจะส่งผลเสียต่อปากีสถาน ทำให้ภาพลักษณ์เป็นลบเพราะถูกมองว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มก่อการร้าย และทำให้อินเดีย ได้ประโยชน์ทางการทูตจากการที่ทำให้โลกหันมาสนใจเรื่องดังกล่าวนี้ ซึ่งอินเดีย ได้ทำการกล่าวหาปากีสถาน มาโดยตลอดว่ารัฐบาลปากีสถาน คอยหล่อเลี้ยงอุ้มชู กลุ่มติดอาวุธ เพื่อปฏิบัติการแบ่งแยกดินแดนแคชเมียร์จากอินเดีย แต่ปากีสถาน ก็บอกว่า พวกเขาแค่สนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดนแค่ในด้านการทูต และในเชิงขวัญกำลังใจเท่านั้น
สงครามวาทกรรม
อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นคือสงครามวาทกรรมที่ต่างฝ่ายต่างก็อ้างว่าฝ่ายตัวเองโจมตีทหารหรือกลุ่มติดอาวุธฝ่ายตรงข้ามได้จำนวนมาก แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็จะบอกว่าไม่จริงและยกตัวเลขเรื่องที่อีกฝ่ายโจมตีใส่พลเรือน เช่น กรณีการโจมตีของอินเดียในวันที่ 7 พฤษภาคม ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถสังหาร “ผู้ก่อการร้าย” ได้มากกว่า 100 ราย แต่ปากีสถานก็บอกว่าจรวดของอินเดียตกใส่มัสยิดในเขตชุมชนทำให้มีพลเรือนเสียชีวิต 40 ราย มีเด็กรวมอยู่ด้วย มีทหารเสียชีวิต 11 นาย เท่านั้น
ทางด้านปากีสถาน เองก็อ้างว่า พวกเขายิงเครื่องบินรบของฝ่ายอินเดียตกได้ โดยที่อินเดียไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธในเรื่องนี้ กองทัพปากีสถานเผยแพร่รายละเอียดเกี่ยวกับเครื่องบินที่พวกเขายิงตก ซึ่งเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ และฝรั่งเศส ก็ยืนยันว่าอินเดียสูญเสียเครื่องบินของตัวเองไปอย่างน้อย 2 ลำ ทางการอินเดียเปิดเผยต่อสื่อแค่ว่ามีเครื่องบินรบ 2 ลำตกในเขตที่อินเดียปกครอง แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเครื่องบินของใคร
อัสฟานดิยาร์ มีร์ นักวิจัยอาวุโสของศูนย์สติมสันในวอชิงตันดีซี กล่าวว่า การที่ปากีสถานยิงเครื่องบินตกโดยมีสื่ออิสระหลายแห่งยืนยันในเรื่องนี้จะทำให้การหยุดยิงส่งผลดีต่อปากีสถานเอง
แต่ลัดวิก ก็เตือนว่า เรื่องที่ปากีสถาน ยิงเครื่องบินตกได้อาจจะไม่ได้นับเป็นความสำเร็จอะไร อย่างมากที่สุดก็เป็นชัยชนะเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่ได้ทำให้ปากีสถาน ได้เปรียบทางการทหารในแบบที่เห็นได้ชัดเจน
ในทางตรงกันข้าม เมื่อพิจารณาด้านยุทธศาสตร์การทหารแล้ว มีนักวิเคราะห์มองว่าอินเดียอาจจะเป็นฝ่ายได้เปรียบด้วยซ้ำ จากการที่อินเดีย ทำการโจมตีลึกเข้าไปในเขตแดนของปากีสถาน มากขึ้น เช่น ในการโจมตีวันที่ 7 พ.ค. 2568 อินเดียก็ยิงจรวดใส่เป้าหมายในปัญจาบ 4 แห่ง นับเป็นการโจมตีแคว้นที่มีประชากรอาศัยอยู่มากที่สุด และนับเป็นแคว้นศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญของปากีสถาน อีกทั้งในการโจมตีเมื่อวันที่ 10 พ.ค. อินเดียก็โจมตีโดนเป้าหมายเป็นฐานทัพอากาศปากีสถาน 3 แห่งที่อยู่ลึกเข้าไปในแคว้นปัญจาบ
เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าอินเดียได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการทะลวงเข้าไปในดินแดนของปากีสถานได้มากกว่า ลัดวิก บอกว่า การที่อินเดียโจมตีเป้าหมายในปากีสถานได้สำเร็จนั้น สะท้อนให้เห็นว่าปากีสถานมีความบกพร่องในแนวป้องกัน
ปากีสถานได้อะไรจากการสร้างวิกฤตในครั้งนี้
ซี คริสทีน แฟร์ ศาสตราจารย์จากโครงการศึกษาด้านความมั่นคงของมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ เขียนบทวิเคราะห์เรื่องนี้ไว้ในสื่อ Foreign Policy โดยมองว่า ถึงแม้จะมีการตกลงหยุดยิงเกิดขึ้นในความขัดแย้งครั้งล่าสุด แต่ในอนาคตก็อาจจะเกิดวิกฤติการสู้รบระหว่างอินเดียกับปากีสถานในเรื่องแคชเมียร์อีกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะสำหรับกองทัพปากีสถานที่ปกครองประเทศอยู่นั้น พวกเขาต้องอาศัยประเด็นแคชเมียร์เป็นเหตุผลในการดำรงอยู่ของตนเองโดยไม่ต้องพิจารณาเรื่องความได้เปรียบเสียเปรียบในทางวัตถุ
สำหรับแฟร์ ความขัดแย้งรอบล่าสุดนี้ยังแสดงให้เห็นอีกว่า สิ่งที่ผู้นำปากีสถานประเมินเอาไว้เป็นเรื่องจริง ในเรื่องที่ว่าพวกเขาสามารถใช้วิธีการแบบสงครามอสมมาตรได้ผล ถึงแม้จะมีความเสี่ยงก็ตาม
สงครามอสมมาตร หมายถึง การสู้รบจากฝ่ายที่เสียเปรียบ โดยอาศัยวิธีการทำสงครามการสู้รบย่อยๆ หรือการก่อการร้ายแทนการทำสงครามใหญ่ๆ ซึ่งในที่นี้เป็นกรณีที่ปากีสถานอาศัยกลุ่มติดอาวุธที่พวกเขาถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุน ในการก่อการร้ายต่อพื้นที่แคชเมียร์ส่วนที่อยู่ภายใต้การปกครองของอินเดียได้สำเร็จ ถึงแม้ว่าอินเดียจะมีการวางระบบต่อต้านการก่อการร้ายในพื้นที่ไว้อย่างดี แต่พวกเขาก็ไม่สามารถป้องกันเหตุร้ายได้ทั้งหมด เป็นการสะท้อนเชิงสัญลักษณ์ว่าอินเดียไม่สามารถรักษาความสงบหรือควบคุมแคชเมียร์เอาไว้ได้ทั้งหมด
ประวัติศาสตร์ของปากีสถานเองก็ดูจะผูกโยงกับแคชเมียร์ ทำให้ข้อพิพาทเขตแดนแคว้นแห่งนี้มีความสำคัญมากสำหรับพวกเขา จนแทบจะเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์การสร้างชาติ จากการที่ มูฮัมหมัด อาลี จินนาห์ ผู้ก่อตั้งประเทศปากีสถาน ก็ได้พูดย้ำความสำคัญของแคชเมียร์ที่มีต่อปากีสถาน บอกว่าแคชเมียร์เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ของปากีสถาน ผู้นำทหารและนายกรัฐมนตรีปากีสถานรุ่นต่อรุ่นก็อ้างใช้วาทะแบบนี้ จนมันกลายเป็นฉันทามติร่วมกันของคนในประเทศทั้งชนชั้นนำและสามัญชน ที่มองว่าแคชเมียร์เป็นของปากีสถาน
ในมุมของปากีสถานแล้ว การแบ่งแยกชมพูทวีปเมื่อปี 2490 ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เพราะแคชเมียร์ซึ่งเป็นแคว้นเดียวในบริติชอินเดียที่มุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ แต่ก็ยังไม่ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปากีสถาน ถ้าหากไม่มีแคชเมียร์ ประเทศปากีสถานก็ยัง “ไม่สมบูรณ์” ในสายตาของพวกเขา
เรื่องนี้ทำให้กองทัพปากีสถาน ฉวยใช้แคชเมียร์มาตั้งเป็นมหายุทธศาสตร์ของตนเอง เพื่อที่จะเรียกร้องการสนับสนุนจนทำให้กองทัพปากีสถานมีอำนาจนำทางการเมือง มีกำลังพลจำนวนมาก โดยมีทหารประจำการ 654,000 นาย กองกำลังผสม 500,000 นาย และทหารกองกนุน 550,000 นาย
นอกจากนี้ การสร้างความชัดแย้งเรื่องแคชเมียร์ ยังทำให้กองทัพปากีสถานผูกขาดนโยบายรัฐและทรัพยากรของประเทศได้ ถึงแม้ว่าปากีสถานจะไม่ได้มีสถานะทางการเงินที่ดีนักและยังต้องพึ่งพาการเงินจากต่างประเทศรวมถึงจาก IMF อยู่ก็ตาม แต่กองทัพปากีสถานก็ต้องการความขัดแย้งกับอินเดียเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเอง ทั้งในทางอุดมการณ์และในทางทรัพยากร จนทำให้มีคำพูดที่ว่า
“ประเทศส่วนใหญ่มีกองทัพเป็นของตัวเอง แต่สำหรับปากีสถานแล้ว กองทัพมีประเทศเป็นของตัวเอง” แฟร์ กล่าว
เรียบเรียงจาก
What did India and Pakistan gain – and lose – in their military standoff?, Aljazeera, 14-05-2025
Another Clash Over Kashmir Is Coming, Foreign Policy, 16-05-2025
ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/2025_India%E2%80%93Pakistan_crisis
https://en.wikipedia.org/wiki/2025_Pahalgam_attack
ที่มา : สำนักข่าวประชาไท / วันที่เผยแพร่ 23 พฤษภาคม 2568
Link : https://prachatai.com/journal/2025/05/113022