KEY
POINTS
- สหรัฐกำลังพิจารณาแบน DeepSeek แชตบอตเอไอจากจีน อาจห้ามไม่ให้บริษัทนี้ซื้อชิปเอไอจากอินวิเดียและอาจถึงขั้นห้ามคนอเมริกันใช้งาน DeepSeek
- คณะกรรมการเฉพาะกิจของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ระบุผ่านรายงานว่า DeepSeek เป็น “ภัยคุกคามร้ายแรง” ต่อความมั่นคงของสหรัฐ
- อินวิเดียยังต้องการรักษาความสัมพันธ์กับตลาดจีน แม้ว่าชิป H20 ที่ออกแบบมาให้ผ่านข้อจำกัดของสหรัฐก็ยังไม่สามารถขายได้
- มาตรการของสหรัฐที่จำกัดการส่งออกชิปให้จีน อาจผลักดันให้จีนเร่งสร้างอุตสาหกรรมชิปของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
ตามรายงานของสำนักข่าว The New York Times เมื่อวันพุธ (16 เม.ย.) รัฐบาลของโดนัลด์ ทรัมป์กำลังพิจารณาแบน DeepSeek ซึ่งเป็นแชตบอตปัญญาประดิษฐ์ (AI) จากจีน อาจห้ามไม่ให้บริษัทนี้ซื้อชิปเอไอจาก อินวิเดีย และอาจถึงขั้นห้ามคนอเมริกันใช้งาน DeepSeek
สาเหตุหลักเป็นเพราะรัฐบาลสหรัฐต้องการสู้กับจีนในเรื่องเทคโนโลยีเอไอ โดยหลังจาก DeepSeek เริ่มได้รับความนิยมในสหรัฐ ทั้งในวงการเทคโนโลยีและนักลงทุน
รัฐบาลก็เริ่มมองหาวิธีป้องกันไม่ให้จีนเข้าถึงเทคโนโลยีและผู้ใช้งานในสหรัฐมากเกินไป
ความกังวลของสหรัฐไม่ได้มีเพียงแค่ด้านเศรษฐกิจ แต่ยังเกี่ยวข้องกับความมั่นคงแห่งชาติ เนื่องจากเอไอถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีที่มี ความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์
และรัฐบาลสหรัฐกังวลว่า การที่จีนมีความก้าวหน้าในด้านเอไออาจส่งผลกระทบต่อความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีและอำนาจทางการทหารของสหรัฐในระยะยาว
ความขัดแย้งทางเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐและจีนทวีความรุนแรง
คณะกรรมการเฉพาะกิจของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ ด้านการแข่งขันเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐ และพรรคคอมมิวนิสต์จีน ระบุผ่านรายงานว่า
DeepSeek เป็น “ภัยคุกคามร้ายแรง” ต่อ ความมั่นคงของชาติสหรัฐ โดยกล่าวว่าบริษัทนี้มีความเชื่อมโยงกับ พรรคคอมมิวนิสต์จีน และดูดข้อมูลจากสหรัฐ
เพื่อส่งกลับไปยังปักกิ่ง ในรายงานอธิบายเพิ่มเติมว่า DeepSeek ถูกออกแบบมาเพื่อบ่อนทำลายความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของสหรัฐ และนโยบายสำคัญในการปกป้องความมั่นคงของชาติอย่างผิดกฎหมาย
นอกจากนี้ ก็มีความเชื่อมโยงกับห้องปฏิบัติการวิจัยทางทหาร และห้องปฏิบัติการเชิงยุทธศาสตร์ รวมถึง Zhejiang Lab ซึ่งมีบทบาทพัฒนาความสามารถทางวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยีของจีน
ข้อกังวลด้านความปลอดภัยและการละเมิดข้อมูล
“DeepSeek เป็นตัวแทนของภัยคุกคามร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศเรา แม้มันจะนำเสนอตัวเองเป็นเพียงแชตบอตเอไอตัวหนึ่ง แต่การตรวจสอบอย่างใกล้ชิดพบว่า
แอปนี้ดูดข้อมูลกลับไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC) สร้างช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้ และอาศัยโมเดลที่เซ็นเซอร์และบิดเบือนข้อมูลอย่างลับๆ ตามกฎหมายจีน” รายงานระบุ รายงานยังอ้างถึงผลการศึกษาของบริษัทรักษาความปลอดภัย Feroot Security ที่พบว่า DeepSeek แอบส่งข้อมูลของผู้ใช้ชาวอเมริกันกลับไปยังประเทศจีน
โดยผ่านระบบเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เครือข่ายที่เชื่อมต่อกับ บริษัท China Mobile ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของจีน
นอกจากนี้ ยังพบว่า DeepSeek ได้ฝังโค้ดและซอฟต์แวร์สอดแนมที่ใช้ติดตามพฤติกรรมผู้ใช้จากบริษัทเทคโนโลยีจีนยักษ์ใหญ่อื่นๆ เช่น ByteDance (เจ้าของ TikTok)
และ Tencent (เจ้าของ WeChat) ไว้ในแอปพลิเคชันของตนด้วย
คณะกรรมการอธิบายว่า China Mobile ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจเป็นบริษัทที่เกี่ยวข้องกับกองทัพและ ByteDance เป็นบริษัทที่ควบคุมโดยศัตรูต่างชาติ
ในขณะที่เพนตากอนได้กำหนดให้ Tencent เป็นบริษัททหารจีน
ขณะที่โฆษกสถานทูตจีน หลิว เผิงหยู เคยออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาของรัฐบาลสหรัฐ ที่ระบุว่า จีนมีส่วนเกี่ยวข้องกับการโจมตีทางไซเบอร์ต่อกระทรวงการคลังสหรัฐ
โดยเขาเน้นว่า จีนต่อต้านการโจมตีทางไซเบอร์ทุกรูปแบบ และเรียกร้องให้สหรัฐหยุดการกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน
การแข่งขันทางเศรษฐกิจ
DeepSeek สร้างความตื่นตระหนกให้กับวงการเทคโนโลยีและการเงินของสหรัฐ เนื่องจากบริษัทนี้ได้พัฒนาโมเดลเอไอที่มีความสามารถสูงในระยะเวลาอันสั้น
และเสนอราคาที่ต่ำกว่าคู่แข่งในสหรัฐ ทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ใน Silicon Valley เกิดความกังวลเรื่องการแข่งขัน ขณะที่ Wall Street ก็กังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจและการลงทุนในอุตสาหกรรมเอไอของสหรัฐ
ก่อนหน้านี้ไม่นาน ทำเนียบขาวก็เพิ่งเพิ่มข้อจำกัดในการขายชิปเอไอของอินวิเดียให้กับจีน ซึ่งเป็นการต่อยอดจากนโยบายของรัฐบาลไบเดน
โดยการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นทำให้อินวิเดียคาดว่าจะต้องเผชิญกับการปรับลดมูลค่าสินทรัพย์สูงถึง 5.5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสปัจจุบัน
เนื่องจากข้อจำกัดใหม่ที่รัฐบาลทรัมป์กำหนดในการขายชิป H20 ในจีน ซึ่งเป็นชิปรุ่นประสิทธิภาพต่ำกว่าที่ออกแบบมาเพื่อให้สอดคล้องกับการควบคุมการส่งออกของสหรัฐ
คณะกรรมการอ้างอิงจากบริษัทวิจัย SemiAnalysis ระบุว่า DeepSeek มีชิปขั้นสูงของอินวิเดียมากกว่า 60,000 ชิ้น ซึ่งบางส่วนสามารถส่งออกไปยังจีนได้ภายใต้ใบอนุญาตเท่านั้น
อินวิเดียยังต้องการรักษาความสัมพันธ์กับจีน
อย่างไรก็ตาม มีรายงานจากสำนักข่าว Financial Times ว่า เจนเซน หวง ซีอีโอของอินวิเดีย เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเมื่อวันพฤหัส (17 เม.ย.)
หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐออกมาตรการควบคุมใหม่เกี่ยวกับการขายชิปให้จีน ทำให้หุ้นของบริษัทร่วงลงอย่างมาก
ตามคำบอกเล่าของบุคคล 2 คนที่ทราบตารางการเดินทางของเขา หวง ได้พบกับลูกค้ารายใหญ่ของอินวิเดียในจีน รวมถึงผู้ก่อตั้งสตาร์ตอัปด้านเอไออย่าง DeepSeek
เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการออกแบบชิปรุ่นใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการของจีน และข้อกำหนดด้านกฎหมายทั้งจากจีนและสหรัฐ
นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าเขาได้พูดคุยกับรองนายกรัฐมนตรีของจีน ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่า อินวิเดียยังต้องการรักษาความสัมพันธ์กับตลาดจีน ถึงแม้ว่าชิป H20
ที่ออกแบบมาให้ผ่านข้อจำกัดของสหรัฐก็ยังไม่สามารถขายได้ เนื่องจากประธานาธิบดีทรัมป์ได้สั่งห้ามเพิ่มเติมในช่วงที่วางแผนการเดินทางครั้งนี้พอดี
รายได้ของอินวิเดียจากจีนในปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 17 พันล้านดอลลาร์ แต่ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐกำลังสร้างความเสี่ยงต่อธุรกิจนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกันอินวิเดียเองก็ถูกสอบสวนทั้งจากฝั่งสหรัฐ และจีน รวมถึงกรณีที่รัฐบาลจีนตรวจสอบว่าบริษัททำผิดข้อตกลงที่เคยให้ไว้เมื่อต้องการซื้อกิจการบริษัทจากอิสราเอลหรือไม่
ถึงแม้บริษัทจะไม่ออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ แต่การปรากฏตัวของหวงในกรุงปักกิ่ง และการหารือกับหลายฝ่าย เป็นสัญญาณชัดเจนว่า อินวิเดียยังไม่ยอมแพ้ต่อการรักษาตลาดในจีน และอาจมีแผนจะออกแบบชิปรุ่นใหม่อีกครั้ง เพื่อให้สอดคล้องกับข้อกำหนดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
OpenAI กล่าวว่า DeepSeek ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา
DeepSeek เริ่มมีคนใช้งานในสหรัฐมากขึ้น เพราะให้บริการเอไอในราคาที่ถูกกว่าบริษัทฝั่งสหรัฐ ทำให้บริษัทอื่นๆ ต้องปรับตัวและลดราคาตาม
ขณะเดียวกันก็มีข้อสงสัยว่า DeepSeek อาจไปคัดลอกโมเดลจากบริษัทอย่าง OpenAI ซึ่ง OpenAI ก็ออกมาแจ้งว่า DeepSeek อาจทำผิดกฎการใช้งานของพวกเขา
รายงานของคณะกรรมการยังระบุว่า บริษัท OpenAI ของสหรัฐได้อ้างว่า DeepSeek ได้ฝึกโมเดลภาษาขนาดใหญ่โดยใช้เทคนิคที่ผิดกฎหมาย
โดยในคำให้การนั้น OpenAI บอกกับคณะกรรมการว่า R1 ของ DeepSeek มีความคล้ายคลึงกับโมเดลของตนเอง
นอกจากนี้ก็ยังกล่าวว่า พนักงานของสตาร์ตอัปจีนรายนี้หลบเลี่ยงการป้องกัน เพื่อใช้ทรัพย์สินทางปัญญาของตนในการฝึกโมเดลด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า
โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า distillation ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าเป็นเทคนิคที่แพร่หลายและตรวจจับได้ยาก อย่างไรก็ตาม DeepSeek
ยังไม่ได้แสดงความคิดเห็นต่อข้อกล่าวหาว่ากำลังใช้เทคนิคดังกล่าว
ตั้งข้อสังเกต: มาตรการเข้มงวดของสหรัฐอาจเป็นดาบสองคม
ประธานคณะกรรมการ จอห์น มูลีนาร์ สมาชิกพรรครีพับลิกันจากรัฐมิชิแกน และสมาชิกอาวุโสของพรรคเดโมแครตในคณะกรรมการ ราจา คริชนามูร์ธี
ได้ส่งจดหมายร่วมถึงเจนเซน หวง โดยระบุว่า DeepSeek อาจกำลังหลบเลี่ยงการควบคุมการส่งออกของสหรัฐ ด้วยการใช้ประเทศที่สาม
และอ้างถึงการจับกุมล่าสุดในสิงคโปร์ที่เกี่ยวข้องกับการติดฉลากชิปที่เป็นการฉ้อโกง
พวกเขาขอให้บริษัทให้ข้อมูลโดยละเอียด รวมถึงรายชื่อลูกค้าจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ซื้อชิปที่เกี่ยวข้องกับเอไอมากกว่า 499 ชิ้นนับตั้งแต่ปี 2563
และรายละเอียดการสื่อสารระหว่างอินวิเดียและ DeepSeek รวมถึงสัญญากับหน่วยงานจีนที่ถูกจำกัดภายใต้กฎหมายของสหรัฐ
โดยให้เวลาบริษัทตอบกลับภายในวันที่ 30 เม.ย. 2568
รายงานของคณะกรรมการยังรวมถึงข้อเสนอแนะหลายประการเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเซอร์ไพรส์เชิงยุทธศาสตร์ที่อาจเกิดขึ้นในเทคโนโลยีเอไอขั้นสูง รวมถึงการควบคุมการส่งออกที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับโมเดลเอไอ และเทคโนโลยีเซมิคอนดักเตอร์ที่เกี่ยวข้อง และการห้ามการจัดซื้อระบบเอไอจากจีนของรัฐบาลกลาง
อินวิเดียออกมาแสดงความเห็นว่า บริษัทปฏิบัติตามกฎหมายการส่งออกของสหรัฐอย่างเคร่งครัด และเพิ่มเติมว่า “บริษัทบันทึกรายได้ว่าเป็นของสิงคโปร์ เพราะออกใบแจ้งหนี้ให้กับบริษัทย่อยในสิงคโปร์ (ซึ่งเป็นของลูกค้าในสหรัฐ) แต่สินค้าจริงไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิงคโปร์โดยตรง และไม่ได้ส่งไปจีน ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องจะถูกส่งไปยังสถานที่อื่นๆ
รวมถึงสหรัฐ และไต้หวัน ซึ่งไม่ใช่จีน”
อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญหลายรายออกมาเตือนว่า มาตรการเข้มงวดของสหรัฐอาจเป็นดาบสองคม เพราะการที่สหรัฐสกัดกั้นไม่ให้จีนเข้าถึงชิปประสิทธิภาพสูง
อาจกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้จีนเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตชิปของตัวเองให้เข้มแข็งมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวอาจทำให้จีนพึ่งพาเทคโนโลยีจากสหรัฐน้อยลง
และมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้นในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์โลก
โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Huawei Technology บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ของจีนได้เปิดตัวระบบ Cloudmatrix 384 Supernode ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ใช้ประมวลผลเอไอสเกลใหญ่ ซึ่งมีรายงานว่าตั้งเป้าที่จะแข่งขันกับผลิตภัณฑ์ของอินวิเดียในการแก้ไขปัญหาคอขวดด้านพลังการประมวลผล
อ้างอิง: Wall Street Journal, New York Times, South China Morning Post, Financial Times และ Techcrunch
————————————————————————————————–
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 18 เมษายน 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/tech/1176461