อนาคตแรงงานในยุคเอไอ: ‘บิล เกตส์’ เผย เอไอมีบทบาทกับอาชีพครูและแพทย์มากขึ้น ต่อไปจะมีบทบาทกับอาชีพอื่นอีกเรื่อยๆ มนุษย์เตรียมเกษียณเร็วกว่าเดิม และทำงานน้อยลง
บิล เกตส์ (Bill Gates) ผู้ร่วมก่อตั้งไมโครซอฟท์ ได้กล่าวถึงผลกระทบของเอไอที่จะมีต่ออาชีพครูและแพทย์ โดยเป็นอาชีพที่เราเคยคิดว่าปลอดภัยจากการถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี
ในรายการพอดแคสต์ People by WTF มหาเศรษฐีผู้นี้อธิบายว่า เอไอจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาขาดแคลนบุคลากร ซึ่งเป็นปัญหาที่มีมานานทั่วโลก เขายกตัวอย่างว่า ประเทศต่างๆ ทั้งอินเดีย แอฟริกา และแม้แต่สหรัฐ กำลังประสบปัญหาขาดแคลนแพทย์อย่างรุนแรง
ข้อมูลจาก สมาคมวิทยาลัยแพทย์อเมริกัน (Association of American Medical Colleges) ระบุว่า สหรัฐอาจขาดแคลนแพทย์ถึง 86,000 คนภายในปี 2579 โดยเฉพาะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ
ไมเคิล ดิลล์ (Michael Dill) ผู้อำนวยการฝ่ายศึกษาด้านแรงงานของสมาคมวิทยาลัยแพทย์อเมริกัน ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว Business Insider ว่า ต้องการแพทย์อีกหลายแสนคนเพื่อให้บริการได้อย่างทั่วถึง ทั้งสำหรับคนกลุ่มน้อย คนไม่มีประกัน และคนในชนบท นอกจากนี้ ปัญหายังเพิ่มขึ้นเมื่อจำนวนแพทย์ด้านผู้สูงอายุกลับลดลง ในขณะที่ประชากรสูงวัยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้คุณภาพการรักษาพยาบาลแย่ลงในอนาคต
สำหรับวงการแพทย์ เอไอจะเข้ามาช่วยในหลายด้าน ทั้งการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำขึ้น การจัดการงานเอกสารและบิลลิ่งอัตโนมัติ รวมถึงการคัดกรองผู้ป่วยสำหรับการรักษาแบบใหม่ๆ สตาร์ตอัปหลายแห่งกำลังพัฒนาระบบเอไอเพื่อลดภาระงานของแพทย์ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพในวงการแพทย์และเภสัชกรรมได้ถึง 370,000 ล้านดอลลาร์
ในด้านการศึกษา สถานการณ์ก็คล้ายกัน โรงเรียนรัฐบาลในสหรัฐประมาณ 86% รายงานว่ามีปัญหาการขาดแคลนครูในปี 2566 – 2567 ขณะที่ในอังกฤษ มีโรงเรียนมัธยมเริ่มทดลองใช้ ChatGPT สอนนักเรียนแทนครูที่เป็นมนุษย์ในบางวิชา
ตัวอย่างเช่น โครงการนำร่องที่วิทยาลัย David Game ในลอนดอน มีนักเรียน 20 คน ใช้เอไอเรียนวิชาหลักอย่างภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ ชีววิทยา และคอมพิวเตอร์ เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม แม้จะมีข้อกังวลเกี่ยวกับการโกง แต่ครูหลายคนมองว่า เอไอจะช่วยประหยัดเวลาและปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอน โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ขาดแคลนครู
ถ้าหากเอไอมาทำงานพวกนี้หมด มนุษย์จะเหลืออะไรทำ? — เกตส์ไม่ได้พูดถึงแค่ครูและหมอเท่านั้น เขายังบอกอีกว่า เอไอกำลังมาแทนที่คนงานโรงงาน คนงานก่อสร้าง และแม่บ้านโรงแรม หรือใครก็ตามที่ทำงานที่ต้องใช้ทักษะทางร่างกายและเวลา
บริษัทเทคโนโลยีอย่างอินวิเดียกำลังลงทุนอย่างหนักกับหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ หรือ “ฮิวแมนนอยด์” (humanoid) ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานเหล่านี้โดยเฉพาะ ตั้งแต่การหยิบของในคลังสินค้าไปจนถึงการขัดพื้น หุ่นยนต์พวกนี้มีเป้าหมายเพื่อลดต้นทุนแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน
เกตส์มองว่า เมื่อเอไอสามารถทำงานแทนมนุษย์ได้มากขึ้น จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวิถีชีวิตการทำงาน โดยคนอาจสามารถเกษียณได้เร็วขึ้นกว่าปัจจุบันที่ต้องทำงานจนอายุ 60-65 ปี ทำงานน้อยวันลง อาจจะเป็นสัปดาห์ละ 3-4 วันแทนที่จะเป็น 5-6 วันเหมือนปัจจุบัน และมีเวลาว่างมากขึ้นและต้องหาสิ่งอื่นทำแทนการทำงาน
“เอไออาจทำให้มนุษย์ทำงานน้อยลง อาจเกษียณเร็วขึ้น หรือทำงานสัปดาห์ละไม่กี่วัน” เกตส์กล่าว
ในปี 2473 นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (John Maynard Keynes) เคยทำนายไว้ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะช่วยลดชั่วโมงการทำงานของมนุษย์ลงเหลือเพียงสัปดาห์ละ 15 ชั่วโมงเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เกือบหนึ่งศตวรรษผ่านไป แม้ว่าประสิทธิภาพการผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล คนส่วนใหญ่ก็ยังคงทำงานประมาณ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์เหมือนเดิม ซึ่งห่างไกลจากคำทำนายของเคนส์มาก
บิล เกตส์ ได้แสดงมุมมองส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยกล่าวว่า “ผมไม่จำเป็นต้องทำงาน แต่ที่ผมเลือกจะทำงาน เพราะอะไรหรือ? เพราะมันสนุก”
คำพูดของเกตส์แสดงให้เห็นความซับซ้อนของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับงาน ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการผลิตหรือรายได้เท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจ ความหมาย และการบรรลุเป้าหมายส่วนบุคคล สำหรับคนที่มีฐานะมั่นคงอย่างเกตส์ การทำงานไม่ใช่เพื่อความอยู่รอด แต่เป็นเรื่องของความพึงพอใจส่วนตัว
ประเด็นสำคัญที่เกตส์ยกขึ้นมาคือเรื่องของ “ปรัชญาการใช้เวลา” เขาเชื่อว่าสังคมจะต้องคิดใหม่ว่าเราควรใช้ชีวิตอย่างไร เมื่อการทำงานไม่ใช่กิจกรรมหลักของชีวิตอีกต่อไป “อะไรคือความหมายของชีวิตมนุษย์หากไม่ได้ถูกกำหนดด้วยการทำงาน?”
เกตส์ยอมรับว่าแม้แต่ตัวเขาเองที่มีอายุเกือบ 70 ปี ก็ยังปรับความคิดได้ยาก เพราะโตมาในยุคที่โลกมีทรัพยากรจำกัด มีความขาดแคลนสินค้าและบริการ ซึ่งทำให้การทำงานเป็นสิ่งจำเป็น เรามีค่านิยมว่าทุกคนต้องทำงานเพื่อสร้างผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการของสังคม การจะเปลี่ยนกรอบความคิดจากโลกที่ “ขาดแคลน” ไปสู่โลกที่ “เหลือเฟือ” จึงเป็นเรื่องที่ท้าทาย
ดังนั้น แม้ว่าเอไออาจทำให้เราทำงานน้อยลงในอนาคต แต่คำถามสำคัญคือ เราจะใช้เวลาที่เพิ่มขึ้นนั้นอย่างไรให้มีความหมายและมีความสุข และคนที่ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพแล้ว จะยังเลือกทำงานด้วยเหตุผลอื่นหรือไม่ เช่นเดียวกับที่ บิล เกตส์ ทำ?
————————————————————————————————–
ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ / วันที่เผยแพร่ 17 เมษายน 2568
Link : https://www.bangkokbiznews.com/tech/1176314