จีนและเวียดนามมีประวัติศาสตร์ความขัดแย้งกันมาอย่างยาวนาน อีกทั้งสองประเทศนี้ก็ยังมีเหตุพิพาทกันเกี่ยวกับการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไม่ค่อยสู้ดีนัก
ก่อนที่สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการในช่วงสัปดาห์นี้ จนนำไปสู่การยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างจีนและเวียดนามในมิติต่าง ๆ หลังจากที่เวียดนามเคยประกาศยกระดับความพันธ์กับสหรัฐอเมริกาเมื่อราว 3 เดือนก่อนหน้านี้ สะท้อนถึงการแข่งขันกันระหว่างประเทศมหาอำนาจที่เกิดขึ้นภายในย่านอาเซียนได้เป็นอย่างดี
ครั้งนี้ถือเป็นการเดินทางเยือนเวียดนามครั้งแรกของสีจิ้นผิงในรอบ 6 ปี และเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งที่ 4 ของผู้นำจีน ต่อจากทริปเยือนรัสเซีย แอฟริกาใต้ และสหรัฐฯ นับตั้งแต่เริ่มต้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีนสมัยที่ 3 เมื่อช่วงต้นปี 2023
การยกระดับความสัมพันธ์จีน – เวียดนามจะเป็นไปในลักษณะใด
แถลงการณ์ร่วมของทั้งสองประเทศระบุว่า ทั้งจีนและเวียดนามจะยกระดับความร่วมมือกันในหลายมิติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความมั่นคงของรัฐบาลและความมั่นคงของสถาบัน ทั้งยังนับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองประเทศได้อ้างถึงความมั่นคงของระบอบการเมืองการปกครองในแถลงการณ์ร่วมครั้งนี้
จีนและเวียดนามบรรลุข้อตกลงที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลและความร่วมมือระดับสูง โดยเฉพาะงานด้านข่าวกรองและการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อปกป้องและเสริมสร้างความมั่นคงของระบอบการเมืองการปกครองของทั้งสองประเทศ ซึ่งต่างมองว่าทั้งจีนและเวียดนามมีระบอบการเมืองที่คล้ายคลึงกัน มีอุดมการณ์และความเชื่อที่เข้ากันได้ มีเส้นทางการพัฒนาที่สอดคล้องกัน รวมถึงมีวิสัยทัศน์และอนาคตร่วมกัน
นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายยังตกลงที่จะพัฒนาความสัมพันธ์บนพื้นฐานของการไว้วางใจซึ่งกันและกัน ส่งเสริมความเท่าเทียมกัน และความร่วมมือแบบ Win – Win ที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ รวมถึงเคารพต่อเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของกันและกัน
สีจิ้นผิงกล่าวว่า “จีนและเวียดนามควรเปลี่ยนความท้าทายที่เกิดจากปัญหาทางทะเล ให้กลายเป็นโอกาสของความร่วมมือทวิภาคี” ขณะที่ เหงียนฟู้จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ก็สนับสนุนให้ทั้งสองประเทศ “เคารพซึ่งกันและกัน ไม่ทำให้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งขึ้น รวมถึงระงับข้อพิพาทด้วยมาตรการสันติตามแนวทางของกฎหมายระหว่างประเทศ”
ผู้นำจีนและเวียดนามยังลงนามในความตกลง 36 ฉบับที่จะช่วยปูทางไปสู่การร่วมมือกันในมิติต่าง ๆ เช่น การป้องกันเหตุอาชญากรรม การส่งเสริมการค้าการลงทุน เศรษฐกิจดิจิทัล โทรคมนาคม โลจิสติกส์และเทคโนโลยีนวัตกรรม รวมถึงการร่างแผนลาดตระเวนทางทหารร่วมกันบริเวณอ่าวตังเกี๋ยในแถบทะเลจีนใต้ และติดตั้งสายด่วนเพื่อสื่อสารและผ่อนคลายความตึงเครียดระหว่างกัน ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นจากกิจกรรมประมงในทะเล
การยกระดับความสัมพันธ์ครั้งนี้สะท้อนอะไร
ดีแลน โลห์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านนโยบายต่างประเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางในสิงคโปร์ แสดงความเห็นใน South China Morning Post ว่า การที่จีนและเวียดนามมีมุมมองเกี่ยวกับความมั่นคงของระบอบเมืองการปกครองที่คล้ายคลึงกันนั้น ไม่ใช่สิ่งที่น่าประหลาดใจ
เพราะทั้งสองประเทศต่างบริหารจัดการด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ที่ครองอำนาจนำแต่เพียงพรรคเดียว ประเด็นด้านความมั่นคงของระบอบการเมือง รวมถึงความชอบธรรมทางการเมือง และการอยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนาน ล้วนอยู่ในสมการความคิดของพวกเขา
ขณะที่ ซ่ง จงผิง นักวิจารณ์กองทัพและอดีตผู้สอนกองทัพปลดแอกประชาชน ชี้ว่า ประเด็นด้านความมั่นคงเป็นข้อกังวลสำคัญของทั้งจีนและเวียดนาม ที่จำเป็นต้องป้องกันและหลีกเลี่ยงการแทรกซึมจากภายนอก โดยทั้งคู่ต่างมีความกังวลว่า กองกำลังชาติตะวันตกที่เป็นปรปักษ์ต้องการบ่อนทำลายระบบสังคมนิยมของพวกเขา จึงมีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองระหว่างกัน
ด้าน ภากร กัทชลี อาจารย์ประจำภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเจ้าของเพจ ‘อ้ายจง’ ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD ว่า “การประกาศแถลงการณ์ร่วมและยกระดับความสัมพันธ์จีน-เวียดนามในครั้งนี้ นับเป็นตัวอย่าง ‘การทูตไผ่ลู่ลม’ ที่เวียดนามแสดงจุดยืนมาโดยตลอด เราได้เห็นว่า เวียดนามพยายามบาลานซ์ระหว่างสองขั้วมหาอำนาจ โดยจีนเองก็ต้องการขยับเข้าหาเวียดนามเพื่อคานอำนาจกับสหรัฐฯ เพราะจีนรู้ดีว่า สหรัฐฯ ต้องการใช้เวียดนามเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ ‘วงล้อมต่อต้านจีน’ (Anti – China Circle) โดยเฉพาะในช่วงที่จีนก็กำลังมุ่งมั่นมาที่อาเซียน
“ดังนั้นเราจึงได้เห็นการชิงชัยในยุทธศาสตร์อาเซียนระหว่างจีนและสหรัฐฯ และแน่นอนว่าเวียดนามก็รู้ดีว่าจีนสามารถเอื้อประโยชน์ให้กับเวียดนามได้ โดยเฉพาะทางด้านเทคโนโลยี หากเราดูข้อมูลการนำเข้า – ส่งออกระหว่างจีนและเวียดนามย้อนหลัง จะพบว่า เน้นหนักไปทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนที่เวียดนามก็เป็นฐานการผลิตให้กับแบรนด์ต่าง ๆ มากมายขณะนี้ ซึ่งก็พึ่งพาเทคโนโลยีและองค์ความรู้จากจีนด้วย ทั้งคู่ต่างเป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของกันและกันในอาเซียน”
จีน – เวียดนามเชื่อใจกัน มากน้อยแค่ไหน
ภากรชี้ว่า “ถ้าว่ากันตามตรงทั้งคู่ต่างก็ยังสงวนท่าทีต่อกัน โดยจะพิจารณาตามสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่แล้ว กล่าวคือ ในเรื่องของการค้า ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่ามีผลประโยชน์ร่วมกัน แต่ถ้าในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนและอธิปไตยของรัฐอย่างประเด็นพิพาทในทะเลจีนใต้ จีนเองก็ตั้งธงชัดเจนว่าจะไม่ยอมผ่อนปรนจนกระทบต่ออำนาจอธิปไตยจีน
“ในการเจรจารอบนี้ระหว่างสี จิ้นผิง และ เหงียน ฟู้จ่อง เลขาธิการใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ก็พูดถึงประเด็นทะเลจีนใต้ที่สีจิ้นผิงย้ำชัดเจนว่า ทั้งสองประเทศควรหันมาพัฒนาและร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น ไม่ใช่ขัดแย้งกัน ทั้งยังมีการพูดถึงประเด็นการเป็นเพื่อนบ้าน มีรากวัฒนธรรมเดียวกัน และมีรูปแบบการเมืองการปกครองที่เป็นสังคมนิยมเช่นเดียวกัน
“จุดนี้เป็นนัยสำคัญที่ทางจีนต้องการสื่อให้เวียดนามเห็นว่า ‘เราเหมือนกัน เราคล้ายกัน มากกว่าทางสหรัฐฯ’ ซึ่งสื่อหลักของจีนอย่าง Global Times ก็เคยตีแผ่สกู๊ปในมุมมองนี้ ตอนที่สหรัฐฯ ยกระดับความสัมพันธ์กับเวียดนามเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา โดยเน้นย้ำว่าเวียดนามไม่น่าจะมุ่งไปที่สหรัฐฯ ได้อย่างสมบูรณ์ ต่างจากที่จะมุ่งไปที่จีน เพราะถึงแม้ว่าเวียดนามจะมีประเด็นพิพาททางทะเลจีนใต้กับจีน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองประเทศมีรากวัฒนธรรมร่วมกัน มีความคล้ายคลึงกัน และที่สำคัญมีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะทางด้านการค้าและเทคโนโลยี
“แน่นอนว่าเวียดนามอาจยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับจีนในประเด็นทะเลจีนใต้ และการพยายามเข้ามามีอำนาจของจีนในย่านอาเซียนมากขึ้น แต่ภายใต้ความกังวลนั้นก็มีผลประโยชน์ที่มาทดแทน และไม่ใช่ว่าเวียดนามจะสามารถไว้วางใจสหรัฐฯ ได้อย่าง 100% เพราะถ้าหากว่ากันตามตรงแล้ว เวียดนามไม่ได้มีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันที่สหรัฐฯ จะพร้อมเข้ามาช่วยเหลือ เหมือนกับที่สหรัฐฯ มีกับฟิลิปปินส์ ดังนั้นเวียดนามเองก็ต้องใช้แนวทางนี้ในการบาลานซ์ความสัมพันธ์กับทั้งสองขั้วมหาอำนาจเช่นนี้”
ภาพ: Minh Hoang / Pool / AFP
อ้างอิง:
https://edition.cnn.com/2023/12/13/china/china-xi-jinping-vietnam-visit-intl-hnk/index.html
https://www.channelnewsasia.com/asia/china-vietnam-agree-build-shared-future-37-deals-3983801
https://www.globaltimes.cn/page/202309/1297866.shtml
บทความโดย ณรงค์กร มโนจันทร์เพ็ญ
——————————————————————————————————————————————
ที่มา : The Standard / วันที่เผยแพร่ 15 ธ.ค.66
Link : https://thestandard.co/china-vietnam-relationship-rise/