เจ้าหน้าที่ด้านไซเบอร์ของสหรัฐฯ เตือนว่า อเมริกาอาจยังไม่แข็งแกร่งพอที่จะป้องกันและรอดจากการโจมตีทางไซเบอร์จากจีนที่มุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ หากว่าการแข่งขันขยายอำนาจของสองประเทศนี้ยกระดับไปเป็นความขัดแย้งจริง ๆ
นับตั้งแต่รัสเซียเริ่มบุกรุกยูเครนเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐฯ ได้พยายามเพิ่มการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อปกป้องระบบโครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภค เช่น เครือข่ายไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งส่วนใหญ่บริหารจัดการโดยบริษัทเอกชน
แต่ เจน อีสเตอร์ลีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานความปลอดภัยทางไซเบอร์และความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐาน หรือ CISA (Cybersecurity and Infrastructure Security Agency) เตือนในวันจันทร์ว่า จำเป็นต้องเพิ่มการระแวดระวังมากขึ้นในกรณีที่จีนตัดสินใจโจมตีจริง ๆ
“ในกรณีที่เกิดความขัดแย้ง ค่อนข้างแน่นอนว่า จีนจะใช้ปฏิบัติการทางไซเบอร์อย่างรุนแรงโดยมุ่งเป้าไปที่โครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่าง ๆ รวมถึงท่อส่งน้ำมันและรางรถไฟเพื่อชะลอการระดมกำลังทหารของสหรัฐฯ และเพื่อก่อให้เกิดความตื่นตระหนกในหมู่ประชาชน” ผอ.CISA กล่าวที่สถาบันแอสเพน (Aspen Institute) ในกรุงวอชิงตัน
ผู้เชี่ยวชาญผู้นี้ชี้ด้วยว่า “เมื่อพิจารณาจากรูปแบบของภัยคุกคามจากรัฐบาลจีน ศักยภาพและทรัพยากร ตลอดจนความพยายามที่จีนจะนำมาใช้ จะทำให้เป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่เราจะสามารถป้องกันไม่ให้เกิดการชะงักงันขึ้นได้” นอกจากนี้ เธอยังแสดงความกังวลต่อความสามารถของอเมริกาในการซ่อมแซมความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ออกมาเตือนถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์จากจีน โดยคำเตือนส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปยังกรณีที่จีนพยายามใช้กำลังทหารยึดครองไต้หวัน
เมื่อเดือนเมษายน เจ้าหน้าที่การทหารระดับสูงของสหรัฐฯ กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า “หากจีนมีแผนบุกยึดไต้หวันในปี 2027 จริง ๆ คาดว่า จีนจะมีแผนใช้การโจมตีทางไซเบอร์ด้วยเช่นกัน” ขณะที่เจ้าหน้าที่อเมริกันหลายคนเตือนว่า จีนอาจโจมตีทางไซเบอร์ต่อทั้งไต้หวันและสหรัฐฯ เพื่อลดทอนความสามารถของอเมริกาในการปกป้องไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม จีนออกมาปฏิเสธคำกล่าวของเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ เหล่านั้น
หลิว เป็งหยู โฆษกสถานทูตจีนประจำกรุงวอชิงตัน ระบุในอีเมลที่ส่งถึงวีโอเอว่า “จีนต่อต้านและปราบปรามการลอบโจมตีทางไซเบอร์รูปแบบต่าง ๆ มาโดยตลอด ตามที่กฎหมายกำหนดไว้” และว่า “ข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ ที่ว่า รัฐบาลจีนสนับสนุนการลอบเจาะล้วงข้อมูลทางคอมพิวเตอร์นั้นบิดเบือนความจริงทั้งสิ้น”
โฆษกจีนยังกล่าวหากลับว่า สหรัฐฯ เองที่เป็นผู้ลอบโจรกรรมทางไซเบอร์ขนาดใหญ่โดยไม่เลือกและทำอย่างเป็นระบบ อีกทั้งยังติดตามสอดส่องรัฐบาลต่างชาติ รวมทั้งบุคคลและนิติบุคคลต่าง ๆ “
เมื่อเดือนที่แล้ว CISA และองค์กรพันธมิตรในออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา และนิวซีแลนด์ เตือนถึงการกระทำของกลุ่มแฮกเกอร์จากจีนที่ชื่อว่า Volt Typhoon ซึ่งโจมตีเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างพื้นฐานในอเมริกา
อีสเตอร์ลีย์ ผอ.CISA เตือนว่า จีนอาจใช้วิธีสร้างความตื่นตระหนกทางไซเบอร์ก่อนที่จะเริ่มบุกรุกไต้หวัน และว่า เหตุการณ์โจมตีด้วยแรนซัมแวร์ต่อท่อส่งน้ำมัน โคโลเนียล ไพพ์ไลน์ (Colonial Pipeline) และการส่งบอลลูนสอดแนมบินเหนือท้องฟ้าของสหรัฐฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก่อให้เกิดความกังวลว่าสิ่งที่จีนทำอยู่นั้นอาจไปไกลกว่าประเด็นที่เกี่ยวกับไต้หวัน และขอให้อเมริกาเพิ่มการเตรียมพร้อมในกรณีที่เกิดเหตุโจมตีขึ้น
และเพื่อเพิ่มศักยภาพของอเมริกาในการป้องกันตนเอง CISA เตรียมเปิดตัวโครงการสร้างความตระหนักชื่อว่า “Shields Up” ซึ่งมุ่งเน้นไปที่จีน คล้ายกับโครงการที่เปิดตัวไปแล้วก่อนหน้านี้ที่มุ่งเน้นไปที่รัสเซียหลังจากการรุกรานยูเครนเมื่อปีที่แล้ว
โครงการดังกล่าวจะสนับสนุนให้ภาคเอกชนเพิ่มการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์เพื่อป้องกันการโจมตีจากต่างชาติ หรือจากแฮกเกอร์ที่ทำงานให้กับองค์กรในประเทศอย่างรัสเซียและจีนด้วย
ที่มา: วีโอเอ
——————————————————————————————————————————————
ที่มา : voathai / วันที่เผยแพร่ 14 มิ.ย.2566
Link : https://www.voathai.com/a/americans-need-to-be-prepared-for-chinese-cyberattacks-/7134553.html