ถ้าคนไทยไปประท้วงหน้าสถานทูต เรียกร้องให้ยุติการทำสงครามกับยูเครน หรือเรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารออกจากยูเครน เราเห็นเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ยังเป็นการประท้วงโดยสันติและไม่ทำผิดกฎหมาย
ถ้าคนไทยประท้วงหน้าสถานทูตอเมริกัน เรียกร้องให้ถอนทหารออกจากซีเรีย อิรัก อัฟกานิสถาน เราก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ผู้ประท้วงไม่ใช้ความรุนแรง
ถ้าเราเห็นคนไทยประท้วงสถานทูตจีนไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับนักศึกษาฮ่องกง ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ผู้ประท้วงไม่ใช้ความรุนแรง
หรือจะมีกลุ่มสิทธิมนุษยชนในไทยไปประท้วงหน้าสถานทูตพม่า ต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าในการปราบปรามผู้ประท้วง เราก็เห็นเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่ผู้ประท้วงไม่ใช้ความรุนแรง
แต่เราเริ่มรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นคนไทยกลุ่มหนึ่งไปหน้าสถานทูตเยอรมนี อังกฤษ สถานทูตฝรั่งในไทย หรือองค์การสหประชาชาติ เรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติหรือสถานทูตเหล่านี้กดดันประเทศไทยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
สถานทูตหรือองค์การระหว่างประเทศจะส่งเจ้าหน้าที่ออกมารับหนังสือของผู้ประท้วง จากนั้นผู้ประท้วงก็เดินทางกลับ โดยทั่วไปสถานทูตต่างประเทศในไทยจะส่งเจ้าหน้าที่ระดับกลางมารับหนังสือ และปฏิบัติเท่าเทียมกันกับทุกกลุ่มที่มายื่นหนังสือ
โดยทั่วไป สถานทูตมักจะส่งเลขานุการตรี หรือผู้ช่วยเลขานุการมารับหนังสือจากผู้ประท้วงคนไทยทั่วไป แต่ระยะหลังพบว่า มีบางสถานทูตที่พอผู้ประท้วงเป็นกลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยมายื่นหนังสือ สถานทูตนั้นกลับส่งเลขานุการเอก หรือที่ปรึกษา ลงมารับหนังสือ ซึ่งสื่อความหมายว่า สถานทูตนั้นสนับสนุนกลุ่มต่อต้านรัฐบาล แบบนี้ถือว่าเสียมรรยาท
แต่วันนี้ คนไทยรู้สึกแปลก ๆ เมื่อเห็นนักการทูตต่างประเทศกว่า 20 คนจากสถานทูตสหรัฐและสถานทูตสหภาพยุโรปตะวันตก หรือ อี.ยู. นัดกันไปที่กระทรวงต่างประเทศไทย เข้าพบกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศไทย เพื่อถามจุดยืนของรัฐบาลไทยต่อสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซ้ำยังมีการถ่ายรูปร่วมกันเผยแพร่ตามสื่อต่าง ๆ ด้วย พฤติกรรมดังกล่าวเพิ่งเกิดขึ้นและเป็นที่เข้าใจได้ว่า เป็นการกดดันรัฐบาลไทยให้ช่วยประณามรัสเซีย หลังจากนั้น ทูตเหล่านี้เดินทางไปยังสถานทูตยูเครนเพื่อให้กำลังใจและประกาศยืนเคียงข้างประชาชนและประเทศยูเครน
การที่บรรดาทูตสหภาพยุโรปเดินทางไปให้กำลังใจทูตยูเครน ไม่มีใครว่าอะไร แต่หลายคนสงสัยว่าการที่ทูตสหภาพยุโรปในไทยรวมหัวกันไปกดดันกระทรวงต่างประเทศไทยก่อนช่วงเวลาที่มีการลงมติของสหประชาชาติประณามรัสเซีย
พฤติกรรมดังนี้ เหมาะสมหรือไม่อย่างไร นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ทูตสหรัฐและสหภาพยุโรปแสดงพฤติกรรมอย่างเปิดเผยในการกดดันไทยให้ดำเนินนโยบายสอดคล้องกับความต้องการของสหรัฐและสหภาพยุโรปในการประณามรัสเซีย จะถือว่าเป็นการแทรกแซงการตัดสินใจของรัฐบาลไทยได้หรือไม่อย่างไร
รัฐบาลไทยโดยกระทรวงต่างประเทศผ่านเอกอัครราชทูตประจำสหประชาชาติได้แสดงท่าทีชัดเจนถึงท่าทีของประเทศไทยต่อวิกฤติยูเครน โดยสนับสนุนมติของสหประชาชาติ การเคารพต่ออธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน และการไม่ใช้ความรุนแรงต่อรัฐอื่น ยึดมั่นในกติการะหว่างประเทศ การเจรจา เพื่อนำไปสู่สันติภาพ ปฏิบัติตามพันธะสัญญาภายใต้กฎหมายสิทธิมนุษยชนอย่างถึงที่สุด
พฤติกรรมของทูตสหภาพยุโรปประจำไทยที่รวมหัวกันไปกดดันกระทรวงการต่างประเทศ เป็นสิ่งที่คนไทยไม่เคยเห็นมาก่อน และตั้งข้อสงสัยว่า พฤติกรรมเช่นนี้ อย่างน้อยจะเข้าข่ายเป็น “การแทรกแซงกิจการภายในและอธิปไตยของประเทศไทย” ได้หรือไม่
ประเทศอธิปไตยย่อมมีอิสระในการกำหนดนโยบายของตน โดยเฉพาะนโยบายด้านการต่างประเทศ ประเทศอาณานิคม หรือประเทศอารักขา ฯลฯ นั้นไม่มีอิสระดังกล่าว
แม้บางประเทศอาณานิคมได้รับอนุญาตให้มีอำนาจในการบริหารกิจการภายในประเทศ แต่การกำหนดนโยบายต่างประเทศ ต้องถามประเทศเจ้าอาณานิคมเสียก่อน ซึ่งแสดงว่า ประเทศนั้นไม่มีอธิปไตยที่สมบูรณ์
การกระทำของทูตสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรปครั้งนี้ซึ่งแสดงออกอย่างไม่เกรงใจคนไทยเจ้าของประเทศ ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในและอำนาจการตัดสินใจของประเทศไทยอย่างชัดเจน
ถ้าทูตสหภาพยุโรป หรือทูตอเมริกัน อังกฤษ ฯลฯ แยกกันเข้าพบกับปลัดกระทรวงการต่างประเทศ แบบเงียบ ๆ น่าจะสวยกว่า แต่สิ่งที่พวกนี้รวมหัวกระทำอย่างเปิดเผย ไม่อาจพิจารณาเป็นอย่างอื่นได้นอกจากต้องการแสดงพลังกดดันให้รัฐบาลไทยมีนโยบายและท่าทีที่สอดคล้องกับผลประโยชน์และความต้องการของฝรั่งอเมริกันและสหภาพยุโรป เป็นการแทรกแซงการตัดสินใจของประเทศไทยโดยตรง
พฤติกรรมของฝรั่งกลุ่มนี้ในครั้งนี้ ทำให้นึกย้อนหลังไปถึงพฤติกรรมที่สถานทูตฝรั่งบางแห่งเคยส่งนักการทูตระดับกลางและล่างของตนไปให้กำลังใจแก่นักการเมืองฝ่ายค้าน ไม่ว่าจะอ้างเหตุผลอะไร แต่คนไทยทั่วไปมองว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอย่างชัดเจน
ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 7 เมษายน ปี 2562 เจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี แคนาดา เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟินแลนด์ เบลเยียม และสหภาพยุโรป เคยเดินทางไปสถานีตำรวจปทุมวัน โดยอ้างว่า เพื่อให้กำลังใจนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ขณะนั้น ที่เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาของตำรวจ โดยเข้าไปในห้องสอบสวนของพนักงานตำรวจด้วย เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสังคมและสื่อมวลชนไทย
นักการทูตเหล่านี้อ้างว่า การกระทำของพวกเขาเป็นไปตามมาตรฐานหลักปฏิบัติทางการทูต อุปทูตอเมริกันแถไปว่า โดยปกติ สถานทูตสหรัฐมักเข้าร่วมรับฟังการพิจารณาคดีที่คนทั่วโลกให้ความสนใจว่าการพิจารณาคดีจะเป็นไปอย่างยุติธรรมและเคารพหลักนิติธรรม เพื่อให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับการดำเนินคดีด้วยตนเอง
ทูตบางคนที่มาอ้างว่ามาเพราะได้รับเชิญจากผู้ถูกกล่าวหา แสดงว่า ถ้าผู้ถูกกล่าวหาคนใดเชิญก็ต้องมาสถานทีตำรวจทุกครั้งอย่างนั้นหรือ สรุปก็คือ แถไปอย่างนั้นเอง
กระทรวงการต่างประเทศของไทยต้องเชิญเอกอัครราชทูตของประเทศที่ส่งตัวแทนไปรับทราบข้อกล่าวหามาพบหารือที่กระทรวงการต่างประเทศในเวลาต่อมา
โดยกระทรวงต่างประเทศได้ “ แสดงความผิดหวังและห่วงกังวลต่อการปรากฏตัวของผู้แทนสถานเอกอัคราชทูตต่างประเทศที่สถานีตำรวจปทุมวันดังกล่าว เพราะอาจถูกตีความว่าเป็นการเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในบริบททางการเมืองไทย การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่เกินเลยภารกิจทางการทูต เข้าข่ายแทรกแซงกิจการภายในของไทย และละเมิดหลักปฏิบัติและพันธกรณีทางการทูต ภายใต้อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยความสัมพันธ์ทางการทูต ค.ศ.1961 มาตรา 41 และขอให้สถานเอกอัครราชทูตดำเนินการเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก “
นอกจากครั้งนี้ สถานทูตฝรั่งดังกล่าวยังส่งนักการทูตของตน (ส่วนใหญ่หน้าเดิมๆ) ยัง “สังเกตการณ์” ที่สถานีตำรวจแห่งนี้และแห่งอื่นอีกหลายครั้ง ต่างเวลาและสถานที่ (เมื่อนักการเมืองฝ่ายค้านกลุ่มเดิม) ถูกแจ้งข้อหา) โดยไม่คำนึงถึงมรรยาททางการทูตและความรู้สึกของคนไทยเลย
นักกฎหมายระหว่างประเทศและนักการทูตไทยท่านหนึ่งได้ให้ข้อสังเกตว่า พฤติกรรมของทูตฝรั่งดังกล่าวถือว่า นอกจากเป็น “การแทรกแซงกิจการภายในของไทย“ แล้ว ยังเป็น “ การละเมิดอธิปไตยทางศาลของไทย “ ด้วย เพราะนักการทูตฝรั่งเหล่านี้เข้าไปอยู่ในห้องสอบสวนของพนักงานตำรวจ โดยอ้างว่า ได้รับเชิญจากตำรวจหรือผู้ถูกกล่าวหาให้เข้าไปเป็นพยาน ซึ่งรับฟังไม่ได้ เพราะตนเองต้องรู้ขอบเขตการกระทำของตนว่าอยู่แค่ไหน การสอบสวนของพนักงานตำรวจถือว่าเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการยุติธรรม ก่อนที่จะส่งอัยการ และส่งฟ้องศาลเพื่อตัดสินต่อไป การเข้าไปนั่งฟังการสอบสวนของตำรวจถือว่าเป็นการละเมิดอธิปไตยทางศาลของไทยอย่างชัดเจน
ร้ายยิ่งกว่า “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต” เสียอีก เพราะในกรณีนั้น เมื่อคนสัญชาติของเขาหรือภายใต้อาณัติของเขา เมื่อทำผิดก็ขึ้นศาลฝรั่ง แต่ในกรณีนี้ คนไทยทำผิดและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมของไทย แต่ฝรั่งเข้ามาแทรกแซงกดดันกระบวนการยุติธรรมไทย และเข้าข้างนักการเมืองไทยที่พวกเขาหนุนอยู่
ล่าสุดเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2565 ฝรั่งซึ่งเป็นผู้แทนจากสถานทูตสหภาพยุโรป 23 ประเทศ นำโดยนายเดวิด เดลี เอกอัคราชทูตสหภาพยุโรปประจำประเทศไทย ไปพบคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนของสภาผู้แทนราษฎร แสดงความไม่เห็นด้วยที่ไทยจะออกกฎหมายตรวจสอบที่มารายได้ของ เอ็น.จี.โอ.ในไทย และสถานการณ์ระหว่างรัสเซียกับยูเครน ไทยจะออกกฎหมายอะไรเป็นอธิปไตยของไทยโดยตรง การที่ฝรั่งรวมหัวกันทำอย่างนี้จะเป็นการตัดสินใจด้วยตนเองหรือโดยลูกยุของนักการเมืองไทยถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในของไทยและละเมิดอธิปไตยของไทยโดยเปิดเผย
การแทรกแซงกิจภายภายใน ถือว่าเป็นการกระทำที่ร้ายแรงในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการทูต แต่การละเมิดอธิปไตยของรัฐถือว่าเป็นพฤติกรรมทีร้ายแรงยิ่งกว่า
ประเทศไทยแม้เป็นประเทศเล็ก แต่ไทยก็เป็น “รัฐอธิปไตย” ซึ่งมีเอกราช อธิปไตย ของตนเอง ไม่อยู่ภายใต้อาณัติของประเทศหนึ่งใด
เป็นที่น่าสังเกตว่า การแทรกแซงกิจการภายในและการละเมิดอธิปไตยของชาติไทยโดยประเทศตะวันตกนำโดยสหรัฐเกิดขึ้นบ่อยครั้งในสามสี่ปีที่ผ่านมา ในช่วงที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ขึ้นบริหารประเทศ ยิ่งไทยกับจีนใกล้ชิดกันมากเพียงใด แรงกดดันจากสหรัฐและตะวันตกจะมีมากขึ้น แต่ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับประชาชนไทยว่าจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศชาติและประชาชนอย่างไร
เราจะปล่อยให้ฝรั่งละเมิดอธิปไตยของชาติ และแทรกแซงกิจการภายในเช่นนี้ต่อไปอีกหรือไม่ ถ้าไม่ เราต้องแสดงออกให้ฝรั่งพวกนี้เห็นว่า คนไทยคัดค้านกับพฤติกรรมที่ละเมิดอธิปไตยของชาติไทยและการแทรกแซงกิจการภายในของไทย การกระทำของนักการทูตดังกล่าวเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ซึ่งแสดงออกถึงจุดประสงค์ในการกดดันไทยในความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ คนไทยต้องช่วยกันประณามพฤติกรรมที่น่ารังเกียจดังกล่าวที่ฝรั่งยังคิดว่าไทยเป็นลูกไล่ที่จะทำอะไรก็ได้
พอมีเรื่องรัสเซียบุกยูเครน นักการทูตอเมริกันและสหภาพยุโรปรวมกลุ่มกันออกฤทธิ์กดดันไทยให้ออกนโยบายที่สอดคล้องกับตน ยังไม่รู้ว่า ต่อไปทูตฝรั่งพวกนี้จะออกฤทธิ์อะไรอีก
บทความโดย ภุมรัตน ทักษาดิพงศ์
—————————————————————————————————————————————————–
ที่มา : โพสต์ทูเดย์ / วันที่เผยแพร่ 11 มี.ค.65
Link : https://www.posttoday.com/politic/columnist/677871?utm_source=dable